จับประเด็นศึกแดงเดือด "เมื่อปีศาจแดงฟื้นคืนชีพ"

จับประเด็นศึกแดงเดือด "เมื่อปีศาจแดงฟื้นคืนชีพ"
ศึกแดงเดือดขบวนแรกในฤดูกาลนี้ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จบลงด้วยชัยชนะของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังเฉือนคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ไป 2-1 จากผลงานของ เจดอน ซานโช่ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ส่วนทีมหงส์แดงตีไข่แตกช่วงท้ายเกมจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้น

นั่นทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เกมหลังสุดที่เจอกัน หลังจากที่เกมสุดท้ายที่ชนะหงส์แดงได้นั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2018 โดยเกมนั้นก็เป็นเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และทีมปีศาจแดงเป็นฝ่ายชนะไปด้วยสกอร์เดียวกันคือ 2-1 จากการทำคนเดียวสองประตูของ แรชฟอร์ด

ต่อไปนี้คือ 4 ประเด็นที่น่าสนใจหลังเกมแดงเดือดที่เรียกได้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพราะเป็นการเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ในรูปเกมที่ถือได้ว่าทำได้ดีขึ้นกว่าทุกครั้งที่พบกันในช่วงหลังอีกด้วย

1. เกมที่ต่างฝ่ายไม่อยากแพ้
ก่อนเกมนี้จะเริ่มขึ้น ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ต่างก็ยังควานหาชัยชนะนัดแรกในเกมพรีเมียร์ลีกไม่เจอ โดยทีมปีศาจแดงแพ้รวดมา 2 นัดให้กับคู่แข่งที่ชื่อชั้นเป็นรองกว่าทั้ง ไบรท์ตัน (2-1) และ เบรนท์ฟอร์ด (4-0) ซึ่งนอกจากจะแพ้ไม่พอ รูปเกมยังดูมีปัญหาในทุกภาคส่วน

ขณะที่ ลิเวอร์พูลเองก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน แม้ว่าจะไม่ได้แพ้รวด 2 นัด แต่ก็เสมอมาทั้งสองนัดให้กับทีมที่ดูเป็นรองพวกเขาไม่ว่าจะเป็น ฟูแล่ม (2-2) และ คริสตัล พาเลซ (1-1) ดังนั้นถ้าหากว่าใครเป็นฝ่ายแพ้ในการพบกันครั้งนี้ เรียกได้ว่าอาการหนัก

หากว่าเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่แพ้ เท่ากับว่าพวกเขาจะทำสถิติแพ้ 3 เกมติดต่อกันตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1986 และยังจะทำสถิติแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 3 ปีติดต่อกันอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่ถ้าเป็นทีมหงส์แดงที่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เท่ากับว่า 3 เกมแรกของฤดูกาลพวกเขาจะเก็บได้เพียง 2 แต้ม ตามหลังจ่าฝูงอย่าง อาร์เซน่อล ไกลถึง 7 คะแนน อาจจะยังเป็นเพียงแค่ช่วงต้นฤดูกาล แต่การออกสตาร์ทที่เอื่อยเฉื่อยแบบนี้ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเป้าหมายในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของพวกเขาอย่างแน่นอน

และปรากฏว่าผลที่ออกมาเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นฝ่ายสมหวัง นั่นทำให้ตอนนี้ทีมปีศาจแดงมี 3 แต้ม ขยับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 14 ของตาราง ส่วน ลิเวอร์พูล มี 2 คะแนนจาก 3 นัด ยังไม่ชนะใคร และตกไปอยู่อันดับที่ 16

หากว่าก่อนเปิดซีซั่นมีใครมาบอกว่า ลิเวอร์พูล จะไม่ชนะใคร 3 เกมแรกของฤดูกาล และจะมีแค่ 2 แต้มเท่านั้น คงไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆ

2. การเปิดตัว กาเซมิโร่ กองกลางคนใหม่ของปีศาจแดง
ก่อนที่เกมนี้จะเริ่มขึ้น แมนฯ ยูไนเต็ด ถือโอกาสเปิดตัวกองกลางตัวใหม่ของพวกเขาอย่าง กาเซมิโร่ มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลวัย 30 ปี ที่พวกเขาไปดึงตัวมาจาก เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสูงถึง 60 ล้านปอนด์ โดยมีโบนัสเพิ่มเติมอีก 10 ล้านปอนด์ในอนาคต ซึ่งการมาของ กาเซมิโร่ จะเข้ามาช่วยให้แดนกลางของทีมปีศาจแดงแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนี่คือกองกลางตัวรับระดับเวิลด์คลาสที่พวกเขาตามหามานาน และก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าตัวนักเตะจะยอมย้ายมาร่วมหัวจมท้ายด้วย ในเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่ได้อยู่ในสถานะทีมลุ้นแชมป์ และกำลังอยู่ในระหว่างการสร้างทีมขึ้นมาใหม่

แม้ว่าเกมนี้ กาเซมิโร่ จะยังลงทะเบียนไม่ทัน และยังลงสนามไม่ได้ โดยทำได้แค่นั่งให้กำลังใจเพื่อนใหม่ของเขาบนอัฒจันทร์ แต่หลังจากที่เกมนี้จบลง เชื่อว่า กาเซมิโร่ น่าจะมีรอยยิ้ม และมองเห็นอนาคตของทีมนี้ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเขาลงมายืนคุมแดนกลางให้

3. ลิเวอร์พูลที่มีปัญหานักเตะบาดเจ็บและการจัดทีมที่ค้านสายตาแฟนบอลของ เจอร์เก้น คล็อปป์
นอกเหนือจากที่จะมีคนตั้งข้อสังเกตว่าศึกแดงเดือดขบวนแรกมาเร็วไปหน่อยแล้วนั้น ดูเหมือนว่าปัญหานักเตะบาดเจ็บแทบจะค่อนทีมของ ลิเวอร์พูล ก็ส่งผลกระทบต่อพวกเขาไม่น้อยเช่นกัน โดยที่เกมนี้พวกเขามีนักเตะที่บาดเจ็บและไม่มีส่วนร่วมกับเกมนี้ถึง 9 ราย แถม ดาร์วิน นูนเญซ ยังมาติดโทษแบน 3 นัดโดยเริ่มจากเกมนี้เป็นนัดแรก เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล หมดสิทธิ์ใช้งานนักเตะพร้อมกันถึง 10 คน

แน่นอนว่าปัญหานี้ส่งผลกระทบเต็มๆ เท่านั้นยังไม่พอ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังเลือก 11 ตัวจริงออกมาค้านสายตาแฟนบอลไม่น้อย โดยเฉพาะในแดนกลางที่เลือกให้ ฟาบินโญ่ เป็นแค่ตัวตัวสำรองก่อน และเลือกใช้ เจมส์ มิลเนอร์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ เป็นตัวจริงแทน ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าแดนกลางหงส์แดงในวันนี้ขาดความสมดุลย์ และเล่นได้แบบไม่มีความแน่นอน จนทำให้หลายคนตั้งคำถามว่ามันอาจจะดีกว่าหรือเปล่าถ้า คล็อปป์ เลือกเน้นความสมดุลย์ด้วยการให้ ฟาบินโญ่ ลงเล่นเป็นตัวโฮลดิ้งตามปกติ และให้ มิลเนอร์ หรือ เอลเลียตต์ คนใดคนหนึ่งไปเป็นตัวสำรอง

4. ความตั้งใจและพาสชั่นที่แรงกล้าของทีมปีศาจแดง
แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้มาสองเกมรวด แถมนัดที่แพ้ เบรนท์ฟอร์ด 4-0 ก็เล่นได้เข้าขั้นน่าอเนจอนาถ นั่นทำให้ เอริค เทน ฮาก ถึงกับประกาศยกเลิกวันหยุดและให้ลูกทีมตั้งตาตั้งตาซ้อมมากขึ้น และมันก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะในเกมนี้นักเตะปีศาจแดงวิ่งกันทุกคน แถมในละครั้งที่เล่นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเกมรุกหรือเกมป้องกัน จะสังเกตเห็นได้ว่านักเตะเจ้าถิ่นหันมาตีมือและตะโกนให้กำลังใจกันเอง เป็นภาษากายที่ชัดเจนมากว่าพวกเขามีความตั้งใจกับเกมนี้มากแค่ไหน

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเกมนี้ ก็น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทีมของ เทน ฮาก ที่เกมนี้กุนซือดัตช์เลือกที่จะเปลี่ยนทีมจากเกมก่อน 4 ตำแหน่ง โดยในแดนหลังเปลี่ยนถึงสองคนคือ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ ลุค ชอว์ ที่ต้องไปนั่งดูเพื่อนเล่น และให้โอกาส ราฟาแอล วาราน ยืนคู่กับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ แทน ส่วนแบ็กซ็ายเป็นโอกาสของ ไตเรลล์ มาลาเซีย ขณะที่แดนกลาง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ได้จับคู่กับ คริสเตียน เอริคเซ่น และ แอนโธนี่ อีแลงก้า ได้ลงลากเลื้อยทางริมเส้น ก่อนดันให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปเป็นหน้าเป้า และให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นแค่ตัวสำรอง

ซึ่งเหตุผลที่ เทน ฮาก เลือกทีมแบบนี้นั้นก็เป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ทีมมีความเร็วและพละกำลังมากขึ้น โดยเฉพาะการเล่นเพรสซิ่งแดนบน ซึ่งปรากฏว่ามันก็ได้ผลจริงๆ เมื่อความเร็วของ อีแลงก้า และ มาลาเซีย ทางกราบซ้าย ช่วยปั่นป่วนเกมรับและเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ได้เป็นอย่างดี ส่วนการเข้าคู่กันระหว่าง วาราน และ มาร์ติเนซ กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว และนั่นน่าจะทำให้ แม็กไกวร์ และ ชอว์ อาจจะต้องนั่งดูเพื่อนเล่นที่ข้างสนามไปแบบยาวๆ

นอกจากนี้ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่ดีกว่าในวันนี้ก็คือพวกเขาไม่ได้เล่นพลาดเองง่ายๆ เหมือนเกมกับ เบรนท์ฟอร์ด อีก แถมยังมีการออกบอลสั้นทำชิ่งกันได้อย่างแม่นยำ มีความเยือกเย็นในการเล่นกับบอลมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือใช้โอกาสที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ การออกนำได้ก่อนถึง 2-0 คือปัจจัยสำคัญสู่ชัยชนะในเกมนี้เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากยังนำแค่ประตูเดียว บางทีเกมนี้ ลิเวอร์พูล อาจจะไม่แพ้และแบ่งแต้มกลับออกไปได้ในที่สุด

หลังจากนี้ต้องมาติดตามกันต่อว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะยังรักษาฟอร์มการเล่นแบบนี้ต่อไปได้หรือไม่ และมาของ กาเซมิโร่ จะยิ่งทำให้ทีมยกระดับการเล่นขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน ขณะที่ ลิเวอร์พูล จะเรียกฟอร์มเก่งของตัวเองกลับมาได้เมื่อไหร่ และอีกอย่างที่ต้องจับตาดูกันให้ดีก็คือโค้งสุดท้ายของตลาดนักเตะซัมเมอร์นี้ ที่เหลืออีกราวๆ 10 วันจะปิดตัวลง

ถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล จะได้ปรับปรุงทีม โดยเฉพาะในแดนกลางที่เป็นปัญหาหนัก แม้ว่า คล็อปป์ จะเคยย้ำแล้วว่าเขาคงไม่ซื้อใครเข้ามาเพิ่มแล้ว แต่ในเมื่อผลงานของทีมเป็นแบบนี้ ก็น่าสนใจว่ากุนซือหงส์แดงจะเปลี่ยนใจกลับมาไล่ล่ามิดฟิลด์เข้ามาเสริมทีมอีกสักคนหรือไม่...

ภาพจาก Getty Images

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial