คริสเตียน เอริคเซ่น กับหัวใจที่ไม่ยอมแพ้

คริสเตียน เอริคเซ่น กับหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
หลังจากที่ใช้เวลาตัดสินใจอยู่พักใหญ่ ในที่สุด คริสเตียน เอริคเซ่น ก็ตกลงที่จะรับข้อเสนอย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลหน้าแบบไม่มีค่าตัว โดยกองกลางทีมชาติเดนมาร์กวัย 30 ปีจะได้สัญญา 3 ปี และมีรายงานว่าจะได้รับค่าเหนื่อย 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ถือว่าเป็นดีลที่คุ้มค่าสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอน เพราะสำหรับคุณภาพฝีเท้าของ เอริคเซ่น แล้ว การได้กองกลางระดับนี้มาร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว ย่อมเปรียบได้กับการถูกรางวัลใหญ่ และ เอริคเซ่น จะเข้ามายกระดับการเล่นในแดนกลางของทีมปีศาจแดงได้แน่ๆ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปีที่ผ่านมา


แม้ว่าเป้าหมายเบอร์หนึ่งในแดนกลางของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในซัมเมอร์นี้คือ เฟรงกี้ เดอ ยอง แต่การได้ เอริคเซ่น เข้ามาก่อน ก็น่าจะพอทำให้หลายคนรู้สึกอุ่นใจได้ว่าอย่างน้อยๆ ทีมก็ได้กองกลางคุณภาพดีเข้ามาเสริมทัพ และสามารถที่จะไว้วางใจได้ เมื่อเทียบกับตัวที่มีอยู่เดิมอย่าง เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์


ตามรายงานข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันจันทร์ที่ผ่านมาระบุว่า เอริคเซ่น ได้ตอบรับข้อเสนอของ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว โดยตอนนี้เหลือแค่ขั้นตอนการตรวจร่างกาย และถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะมีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งการมาของ เอริคเซ่น ถือเป็นการเสริมทัพรายที่สองของทีมปีศาจแดงในตลาดรอบนี้ ต่อจาก ตีเรลล์ มาลาเซีย แบ็กซ้ายทีมชาติเนเธอร์แลนด์วัย 22 ปีจาก เฟเยนูร์ด ที่ปิดดีลไปได้แล้วก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน


แน่นอนว่าการมาของ เอริคเซ่น ในครั้งนี้ ถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเขายังมีดีพอที่จะเล่นในระดับสูงสุดให้กับทีมใหญ่ในพรีเมียร์ลีก ปัญหาทางสภาพร่างกายที่เคยเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเล่นฟุตบอลของเขา อย่างที่เขาได้ทำให้เห็นแล้วกับการเล่นให้กับ เบรนท์ฟอร์ด ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปีที่ผ่านมา


ย้อนกลับไปในศึก ยูโร 2020 (ซึ่งเล่นกันในปี 2021 หลังเลื่อนมา 1 ปีเนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19) เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว เอริคเซ่น เกือบจะต้องลาโลกนี้ไปแล้วจากเหตุการณ์หัวใจวายเฉียบพลัน ในเกมที่ เดนมาร์ก พบกับ ฟินแลนด์ ในรอบแบ่งกลุ่ม


ภาพที่เราได้เห็นจากการถ่ายทอดสดคือเจ้าตัวที่กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ดีๆ แต่วูบล้มลงไปกองกับพื้นดื้อๆ จนทำให้เกมต้องหยุดลง ซึ่งโชคดีที่ฟุตบอลในยุคสมัยปัจจุบันมีการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ลักษณะนี้เป็นอย่างดี ทำให้ทีมแพทย์ที่พุ่งเข้าไปในสนามสามารถรับมือได้อย่างถูกต้อง ก่อนจะกู้ชีวิต เอริคเซ่น กลับมาได้หลังจากที่หัวใจหยุดเต้นไปนานถึง 5 นาทีเต็ม



เอริคเซ่น เหมือนคนที่ตายไปแล้วชั่วขณะแต่พระเจ้ายังปราณีให้เขาฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่าท่ามกลางความดีใจของแฟนบอลทั่วโลก ในอีกมุมหนึ่งหลายคนก็คงนึกสงสัยว่าแล้วแบบนี้ เอริคเซ่น จะยังสามารถเล่นฟุตบอลอาชีพได้ต่อไปหรือไม่...


ในอดีตเคยมีนักเตะหลายรายที่เกิดอาการลักษณะนี้ ถ้าใครยังจำได้ ฟาบริซ มูอัมบ้า กองกลางชาวอังกฤษของ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส เคยเจอกับปัญหาคล้ายๆ กันเมื่อปี 2012 โดยตอนนั้นเจ้าตัวหมดสติล้มฟุบไปในเกมเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศที่พบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่สนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน ก่อนที่จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน และโชคดีที่แพทย์สามารถยื้อชีวิตของเขาไว้ได้


แต่จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ มูอัมบ้า เลือกที่จะแขวนสตั๊ดไปเลย เช่นเดียวกับเมื่อไม่นานมานี้ในกรณีของ เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ของ บาร์เซโลน่า ก็ประกาศเลิกเล่นไปเรียบร้อยหลังมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ


ในรายการ "เอล กุน" นั้นอาจจะไม่ได้หนักเท่ากับ เอริคเซ่น ที่มีสภาพเหมือนตายไปชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็เลือกที่จะไม่เสี่ยง เนื่องจากยังต้องการจะอยู่กับครอบครัวต่อไปอีกนานๆ


ดังนั้น ในรายของ เอริคเซ่น ณ วันนั้นจึงยังไม่อาจบอกได้ว่าอนาคตในการค้าแข้งของเขาจบสิ้นไปแล้วหรือไม่ แต่โอกาสที่จะไม่ได้กลับมาเล่นฟุตบอลระดับอาชีพต่อนั้น มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ เอริคเซ่น มีอาการดีขึ้น หลังเหตุการณ์ในวันนั้นเพียงไม่กี่วัน เขาได้ทำการผ่าตัดเพื่อติดตั้งเครื่องกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้า (Implantable Cardioverter Defibrillator หรือ ICD) ไว้ที่หน้าอก ซึ่งเจ้าเครื่องสีเงินเล็กๆ ประมาณครึ่งฝ่ามือเครื่องนี้ หน้าที่ของมันก็คือจะปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้งหากว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีก อาทิ หัวใจเต้นช้าหรือเต้นเร็วเกินผิดปกติ หรือหัวใจหยุดเต้น


การติดตั้งเครื่องดังกล่าว สามารถช่วยให้เขาเล่นฟุตบอลต่อไปได้อย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ใช่นักกีฬาคนแรกที่ใช้วิธีการรักษาแบบนี้ แถมส่วนใหญ่แล้วเมื่อติดตั้งเครื่องนี้แล้วยังสามารถกลับเล่นกีฬาได้ตามปกติ และตามสถิติที่มีการระบุไว้นั้น ยังไม่เคยมีนักกีฬาคนไหนเสียชีวิตหลังจากที่มีการติดตั้งเครื่อง ICD ซึ่งนักฟุตบอลที่ใช้วิธีการแบบเดียวกันก็คือ ดาเล่ย์ บลินด์ อดีตกองกลางสารพัดประโยชน์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันอายุ 32 ปีและเล่นอยู่กับ อาแจ็กซ์ เพียงแต่ในเคสของ บลินด์ นั้น เขามีอาการป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งเป็นคนละแบบกับในกรณีของ เอริคเซ่น


อย่างไรก็ตาม บลินด์ ได้เคยออกมาให้สัมภาษณ์ให้กำลังใจ เอริคเซ่น ในตอนที่เกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ว่า เขาเชื่อว่ากองกลางชาวเดนส์จะสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้งอย่างแน่นอน เพราะเขาเองก็เคยผ่านเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันมาแล้ว แต่จะต้องทำการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาฟิตสมบูรณ์และให้แพทย์ยืนยันว่าสามารถกลับมาลงสนามได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของ "หัวใจ"


บลินด์ ไม่ได้หมายความว่าหัวใจต้องกลับมาแข็งแรง 100 เปอร์เซ็นต์ถึงจะกลับมาเล่นได้ แต่เขาหมายถึงหัวใจที่ปราศจากความกลัว เพราะถ้าหากยังมีความกังวลอยู่ ก็เป็นเรื่องยากที่จะมีความกล้าในการกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง


หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เอริคเซ่น ใช้เวลาพักฟื้นอยู่นานหลายเดือน และแม้ว่ามีแนวโน้มว่าอาจจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้ แต่จากการที่ฟุตบอลลีกของอิตาลีไม่อนุญาตให้นักฟุตบอลที่มีการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจไว้ในร่างกายสามารถลงเล่นฟุตบอลในระดับอาชีพได้ ทำให้ อินเตอร์ มิลาน ต้นสังกัดของเขาในเวลานั้นตัดสินใจที่จะยกเลิกสัญญากับทาง เอริคเซ่น ในเดือนธันวาคมปี 2021 นั่นหมายความว่าเขากลายเป็นนักเตะไร้สังกัด และสามารถย้ายไปเล่นให้ทีมใดก็ได้แบบไม่มีค่าตัว


แต่ปัญหาก็คือจะมีทีมไหนที่จะหยิบยื่นโอกาสนั้นให้กับเขา ซึ่งเคยผ่านเหตุการณ์หัวใจวายเฉียบพลันมาแล้ว ซึ่งปรากฏว่า เบรนท์ฟอร์ด คือทีมๆ นั้น


ทีมพญาผึ้ง ซึ่งเป็นน้องใหม่ของศึกพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2021-22 กำลังประสบกับปัญหาฟอร์มตก และทำท่าว่าอาจจะต้องลงไปลุ้นหนีตกชั้นในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง แต่ โธมัส แฟร้งค์ กุนซือชาวเดนมาร์กรู้จัก เอริคเซ่น เป็นอย่างดีมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักเตะระดับเยาวชนทีมชาติ ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะมอบสัญญาระยะสั้น 6 เดือนดึงศิษย์เก่ารายนี้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง


โชคดีที่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ได้มีนโยบายเหมือนกับในอิตาลี นั่นทำให้ เอริคเซ่น สามารถลงสนามได้แม้ว่าจะฝังเครื่อง ICD ไว้ในร่างกาย ทำให้เจ้าตัวได้เซ็นสัญญากับ เบรนท์ฟอร์ด ในวันที่ 31 มกราคม 2022 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของตลาดนักเตะช่วงหน้าหนาวพอดี แต่กว่าจะลงสนามให้กับ เบรนท์ฟอร์ด ได้จริงๆ นั้น ก็ต้องกินเวลาหลังจากนั้นไปอีกเกือบ 1 เดือน


โดยเกมแรกที่ เอริคเซ่น ได้ลงสนามในสีเสื้อของ เบรนท์ฟอร์ด คือเกมพรีเมียร์ลีกที่พบกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ โดยเขาถูกเปลี่ยนลงไปเป็นตัวสำรองแทนที่ของ มาธิอัส เยนเซ่น กองกลางเพื่อนร่วมชาติ ที่ก็บังเอิญเหลือเกินว่า เยนเซ่น คนนี้นี่แหละ คือคนที่ลงสนามไปแทน เอริคเซ่น ในเกมกับ ฟินแลนด์ ในศึกยูโร 2020 ในตอนที่เขามีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของ โธมัส แฟร้งค์ ที่หยิบยื่นโอกาสให้กับ เอริคเซ่น นั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนับตั้งแต่ที่เขาฟิตพร้อมลงสนามได้อย่างสม่ำเสมอ เบรนท์ฟอร์ด ก็ฟอร์มดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา โดยสามารถเก็บชัยชนะในเกมลีกได้ 7 จาก 10 เกม หากว่ามี เอริคเซ่น ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง พร้อมกับทำสถิติยิง 1 แอสซิสต์ 4 จากการลงสนามทั้งหมด 11 เกม ช่วยให้ "The Bees" รอดพ้นจากการตกชั้นได้แบบสบายๆ ด้วยการจบอันดับที่ 13 ของตารางคะแนน และอยู่ห่างจากโซนตกชั้นถึง 9 แต้ม


ผลงานที่ เอริคเซ่น ทำได้จึงน่ามหัศจรรย์มากๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือหัวใจที่กล้าหาญของเขา เพราะถ้าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวเอง และไม่มีความกล้ามากพอ เขาคงจะไม่สามารถกลับมาลงสนามในเกมระดับพรีเมียร์ลีกได้


การได้รับข้อเสนอจาก แมนฯ ยูไนเต็ด นั่นหมายความว่าฝีเท้าของเขายังคงได้รับการยอมรับ และการที่เขาตอบรับข้อเสนอของทีมปีศาจแดง ก็ต้องใช้ความกล้าหาญมากเช่นเดียวกัน เพราะการมาเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาย่อมต้องเจอกับความคาดหวังและความกดดันมากกว่าที่ เบรนท์ฟอร์ด แน่ๆ แม้ว่าแฟนบอลส่วนใหญ่น่าจะมีความเข้าใจ และให้กำลังใจมากกว่าจะหวังให้ เอริคเซ่น เป็นตัวแบกของทีมอย่างจริงจังก็ตาม


นอกจากนี้ แนวทางการเล่นของ เอริค เทน ฮาก ก็เน้นการใช้พละกำลังที่ค่อนข้างสูง อย่างที่ทำไว้กับ อาแจ็กซ์ ดังนั้น เอริคเซ่น ก็ต้องเจอกับสไตล์การเล่นที่มีความเข้มข้นสูงขึ้นด้วยเช่นกัน


เราลองจินตนาการดูว่าจะมีนักฟุตบอลสักกี่คนที่เคยหัวใจหยุดเต้นไปนานถึง 5 นาที แต่ยังกล้าที่จะกลับมาเล่นฟุตบอลระดับอาชีพ แถมยังเป็นลีกที่มีความเข้มข้นมากที่สุดอย่างพรีเมียร์ลีก ถ้าหากว่าหัวใจดวงนั้นไม่แข็งแกร่งมากพอ ย่อมไม่มีทางทำได้


ดังนั้น แม้ว่าตอนนี้ คริสเตียน เอริคเซ่น จะยังไม่ได้ลงสนามให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เลยแม้แต่เกมเดียว แต่เชื่อว่าหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของเขา น่าจะสามารถเอาชนะใจของแฟนบอลปีศาจแดงในตอนนี้ได้แล้วอย่างแน่นอน...

ภาพจาก Getty Images

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial