ซิตี้แชมป์ระทึก! สรุปภาพรวมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22

ซิตี้แชมป์ระทึก! สรุปภาพรวมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2021-22 ได้ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางการลุ้นระทึกอย่างตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นการลุ้นแชมป์, การลุ้นโควต้าท็อป 4 หรือว่าการลุ้นหนีตกชั้น ซึ่งกว่าจะได้รู้ผล ก็ต้องรอกันจนถึงวันสุดท้าย นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม พรีเมียร์ลีก จึงเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในขณะนี้ นั่นก็เพราะความสูสีไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างทีมใหญ่หรือการต่อสู้กันระหว่างทีมเล็ก หรือแม้แต่การเจอกันระหว่างทีมใหญ่และทีมที่เล็กกว่า ก็ใช่ว่าจะได้ผลการแข่งขันอย่างที่คาดเสมอไป

เรามาสรุปภาพรวมในฤดูกาลนี้กันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง


1. การลุ้นแชมป์ที่เข้มข้น

ฤดูกาลนี้คล้ายกับเมื่อปี 2018-19 ที่ครั้งนั้น แมนฯ ซิตี้ ก็คว้าแชมป์ไปครองด้วยการเฉือนชนะ ลิเวอร์พูล ไปเพียงแต้มเดียวเช่นกัน โดยในปีดังกล่าวต้องตัดสินกันจนถึงเกมสุดท้าย และที่คล้ายกันไปอีกก็คือในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล ซิตี้ ก็ถูก ไบรท์ตัน ออกนำไปก่อน แต่พวกเขากลับมายิงคืน 4 ประตูรวด และคว้าแชมป์ไปครองได้ในที่สุด


แต่ครั้งนี้อาจจะเป็นการลุ้นที่หนักหนากว่าเมื่อ 3 ปีก่อน เพราะ แมนฯ ซิตี้ โดน แอสตัน วิลล่า บุกมานำก่อนถึง 2-0 และพวกเขาเหลือเวลาอีกเพียงราวๆ 20 นาทีในการที่จะพลิกสถานการณ์ ในขณะที่รูปเกมก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม ทีมเรือใบสีฟ้าใช้เวลาเพียง 5 นาทียิง 3 ประตูรวด โดยได้จาก อิลคาย กุนโดกัน 2 ประตู และอีก 1 เป็นของ โรดรี้ ทำให้แซงกลับมา 3-2 ก่อนจะปิดเกมและเอาชนะไปได้ในท้ายที่สุด


ขณะที่ ลิเวอร์พูล ถือว่าพวกเขาทำดีที่สุดแล้ว กับการไล่ตาม แมนฯ ซิตี้ จากระยะห่างมากจนเหลือแค่ 1 แต้ม และในวันสุดท้ายก็ยังเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน ได้ตามเป้าหมาย แม้ว่าไม่เพียงพอต่อการเป็นแชมป์ แต่สำหรับแฟนหงส์แดงทั่วโลกคงรับรู้ว่าทีมทำได้ดีที่สุดแล้ว และไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจ


2. โควต้าท็อป 4 ที่พลิกผันไปมา

อาจจะบอกว่าเป็นโควต้าท็อป 4 ก็จริง สำหรับการได้สิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเหมือนเป็นการแย่งที่นั่งว่าง 2 จาก 4 ที่มากกว่า เพราะอันดับ 1 และ 2 นั้น ต่างก็เป็น แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ที่จองล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ทำให้เหลือที่นั่งจริงๆ อีกเพียง 2 ที่เท่านั้น แต่ทีมที่แย่งสิทธิ์นี้มีอยู่ไม่น้อยกว่า 4 ทีม นั่นก็คือ เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส


ในบรรดานี้ เชลซี คือทีมที่มาตรฐานดีที่สุด พวกเขาเคยมีช่วงเวลาที่ขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง และมีลุ้นแชมป์อยู่ระยะเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ ร่วงลงมา แต่ก็ยังดีพอที่จะจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 ขณะที่การแย่งอันดับ 4 นั้น สเปอร์ส ที่ได้ อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาแก้สถานการณ์ กลายเป็นทีมที่ทำได้ดีที่สุด ฟอร์มแรงแซงหน้า อาร์เซน่อล และ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าโควต้าสุดท้ายที่จะได้ไปเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีหน้าได้สำเร็จ 


3. การลุ้นหนีตกชั้นที่ต้องตัดสินในวันสุดท้าย

นอริช ซิตี้ และ วัตฟอร์ด กลายเป็นสองทีมแรกที่ตกชั้นไปก่อนใครเพื่อน จากฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่และมาตรฐานที่ต่ำกว่าทีมท้ายตารางทีมอื่นๆ โดย นอริช นั้นจบอันดับบ๊วยของตาราง เก็บไปได้เพียง 22 คะแนนจาก 38 นัด แพ้ไปถึง 26 เกมและโดนยิงไปถึง 84 ลูก ส่วน วัตฟอร์ด ก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน เก็บได้เพียง 23 แต้มจากทั้งฤดูกาล และโดนคู่แข่งถล่มไปถึง 77 ประตู


ส่วนทีมที่ตกชั้นเป็นทีมสุดท้ายได้แก่ เบิร์นลี่ย์ ที่ในช่วงท้ายฤดูกาลเบียดกันมากับ เอฟเวอร์ตัน และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ชนิดที่เรียกว่าดูแทบไม่ออกว่าใครจะเป็นทีมที่ตกชั้น แต่สุดท้ายก็เป็น เบิร์นลี่ย์ ที่ต้องมาวัดกับ ลีดส์ ในวันสุดท้าย พวกเขามี 35 คะแนนเท่ากัน แต่ เบิร์นลี่ย์ ได้เปรียบกว่านิดหน่อยตรงที่มีผลต่างประตูได้เสียที่เหลือกว่า ลีดส์ ถึง 20 ลูก แถมยังได้เล่นในบ้าน แต่กลับกลายเป็นผ่ายพ่ายต่อ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 1-2 ส่วน ลีดส์ บุกไปอัด เบรนท์ฟอร์ด ได้ 2-1 ทำให้ทีมยูงทองยังคงได้โลดแล่นในพรีเมียร์ลีกต่อไปในปีหน้า


4. ซน ฮึง-มิน นักเตะเอเชียคนแรกที่คว้ารางวัลดาวซัลโว

แม้ว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะนำโด่งเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกมาพักใหญ่ แต่ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลดาวยิงทีมชาติอียิปต์ของ ลิเวอร์พูล ดูจะมีผลงานที่ตกลงไป เริ่มจะยิงประตูไม่ค่อยได้ ขณะที่ ซน ฮึง-มิน กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้ของ สเปอร์ส มีผลงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิงประตูจนไล่จี้ ซาลาห์ มาเหลือแค่ลูกเดียวหลังผ่านไป 37 เกม


ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล สเปอร์ส บุกไปถล่ม นอริช ซิตี้ ถึง 5-0 และ "ซอนนี่" ก็ทำไปอีก 2 ประตู ทำให้ขยับขึ้นมาที่ 23 ลูก แซงขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโว และเกือบจะได้ครองรางวัลนี้แบบเดี่ยวๆ อยู่แล้ว แต่ ซาลาห์ ก็ทำได้ 1 ลูกในเกมสุดท้ายเช่นกัน ทำให้สุดท้ายทั้งสองคนยิงได้ 23 ประตูเท่ากัน ครองรางวัลดาวซัลโวร่วมกันไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นอะไรที่น่าชื่นชมมากๆ สำหรับ ซน ฮึง-มิน อยู่ดี เพราะนี่คือดาวยิงชาวเอเชียคนแรกที่ครองตำแหน่งรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก

ภาพจาก Getty Images

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial