เมื่อเชลซีกำลังจะไม่มีเจ้าของที่ชื่อว่า โรมัน อบราโมวิช

เมื่อเชลซีกำลังจะไม่มีเจ้าของที่ชื่อว่า โรมัน อบราโมวิช
ช่วงกลางดึกของคืนวันพุธที่ 2 มีนาคมผ่านมา เหมือนกับฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อสโมสรเชลซี ได้ออกแถลงการณ์ด่วน ซึ่งเป็นแถลงการณ์ที่มาจาก โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรโดยตรง เกี่ยวกับเรื่องการประกาศว่าจำเป็นต้องขาย เชลซี ออกจากการครอบครองของตนเอง

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ และถ้าใครตามข่าวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ก็น่าจะทราบกันดีว่า มันมีข่าวลือว่าทาง อบราโมวิช จะขายทีมจริงๆ และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น บางทีการตัดสินใจอาจจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้เลย ซึ่งสุดท้ายแล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ


แต่ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า เชลซี ยังไม่ได้มีใครเข้ามาเป็นเจ้าของรายใหม่ ถึงเวลานี้เจ้าของยังเป็นตัว อบราโมวิช อยู่ เพียงแต่เจ้าตัวได้ออกปากอย่างเป็นทางการแล้วว่า "จะขาย" ซึ่งกระบวนการในการเปลี่ยนมือเจ้าของเชลซีนั้น คงยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่


แต่ถึงอย่างไร การออกแถลงการณ์ครั้งนี้ มันก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง อบราโมวิช กับ เชลซี ใกล้จะเป็นอดีตในอีกไม่นานหลังจากนี้...


ก่อนอื่นเลย เรามาดูกันก่อนว่า แถลงการณ์ของ "เสี่ยหมี" ที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ เชลซี พูดอะไรบ้างครับ


********************************

"ผมอยากจะกล่าวถึงการคาดเดาจากสื่อต่างๆ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ซึ่งเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของสโมสรเชลซีของผม อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ผมจะทำการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ของสโมสรด้วยหัวใจ ซึ่งคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของสโมสรอยู่เสมอ 

และจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ผมจึงได้ตัดสินใจที่จะขายสโมสร ซึ่งผมเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับสโมสร, แฟนบอล, พนักงานของสโมสร รวมถึงบรรดาสปอนเซอร์และพาร์ทเนอร์ต่างๆ ของสโมสร"


"การขายสโมสรจะไม่เป็นไปอย่างเร่งรีบนัก แต่จะดำเนินไปตามกระบวนการ ซึ่งผมจะไม่ขอรับเงินคืนจากที่สโมสรเคยกู้ยืมไป เพราะเรื่องนี้มันไม่เคยเป็นเรื่องธุรกิจหรือเรื่องเงินสำหรับผม แต่มันเป็นเรื่องของความคลั่งไคล้ของผมที่มีต่อเกมฟุตบอลและสโมสรล้วนๆ" 


"ยิ่งไปกว่านั้น ผมได้ให้คำแนะนำแก่ทีมงานของผมให้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศล เพื่อที่จะได้นำรายได้สุทธิจากการขายสโมสรทั้งหมดไปบริจาคให้กับมูลนิธิ ซึ่งเงินดังกล่าวจะใช้เพื่อเป็นประโยชน์ของผู้ประสบภัยจากสงครามในยูเครน ซึ่งยังรวมถึงการก่อตั้งกองทุนที่จำเป็นต่อความต้องการอย่างเร่งด่วนและทันทีทันใดของผู้ประสบภัย และเพื่อการสนับสนุนงานด้านการฟื้นฟูในระยะยาว"


"ขอให้ทุกคนได้โปรดทราบว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากเหลือเกินจนแทบไม่น่าเชื่อ และมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องแยกทางกับสโมสรในลักษณะนี้ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดของสโมสร" 


"ผมหวังว่าผมจะสามารถกลับไปเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อที่จะได้กล่าวคำอำลากับพวกคุณทุกคนด้วยตัวผมเอง นี่ถือเป็นสิทธิพิเศษในชีวิตของผมที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสโมสรเชลซี และผมภาคภูมิใจกับความสำเร็จทั้งหมดที่เราได้มีร่วมกัน สโมสรฟุตบอลเชลซีและบรรดากองเชียร์ของสโมสร จะอยู่ในหัวใจของผมตลอดไป"


ขอขอบคุณ, โรมัน


***************************

เชื่อเหลือเกินว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนบอลของเชลซี เมื่อได้อ่านแถลงการณ์ของเสี่ยหมีแล้ว น่าจะรู้สึกหน่วงๆ ในหัวใจ เพราะถ้าเราตัดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมดออกไป หรือตัดความเป็นคนรัสเซียของ อบราโมวิช ทิ้งไป สำหรับใครที่ดู เชลซี มาตลอด ย่อมรู้ดีว่า อบราโมวิช คือเจ้าของสโมสรที่น่าทึ่งมากขนาดไหน


เอาแค่ประโยคที่เขาพูดว่า "ผมจะไม่ขอรับเงินคืนจากที่สโมสรเคยกู้ยืมไป เพราะเรื่องนี้มันไม่เคยเป็นเรื่องธุรกิจหรือเรื่องเงินสำหรับผม แต่มันเป็นเรื่องของความคลั่งไคล้ของผมที่มีต่อเกมฟุตบอลและสโมสรล้วนๆ" ก็สุดยอดจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร


เผื่อใครที่ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ อันที่จริงแล้วในปัจจุบัน เชลซี เป็นหนี้โดยตรงแบบที่ไม่คิดดอกเบี้ยกับทาง อบราโมวิช อยู่ราวๆ 1,500 ล้านปอนด์นะครับ ขณะที่บางแหล่งข่าวอ้างว่าเงินที่ เชลซี กู้มาจากเสี่ยหมี สูงในระดับ 2,000 ล้านปอนด์เลยด้วยซ้ำ


แต่จากคำแถลงการณ์หมายความว่า อบราโมวิช ยกหนี้ให้ทั้งหมด และถ้าขายสโมสรได้อีกเท่าไหร่ ก็จะนำไปบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงครามที่ยูเครนทั้งหมดด้วย...


ย้อนกลับไปเมื่อปี 2003 ในวันนั้น โรมัน อบราโมวิช ยังมีอายุเพียง 37 ปี แต่ในเวลานั้นเขาคือหนึ่งในกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งที่สุดในรัสเซียหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เขาเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเชลซีต่อจาก เคน เบตส์ ประธานเชลซีในตอนนั้นด้วยเงินลงทุนเพียง 140 ล้านปอนด์ ท่ามกลางความสงสัยจากหลายๆ ฝ่ายว่า อบราโมวิช เข้ามาซื้อเชลซีด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ เพื่อเก็งกำไรในการขายต่อ หรือคิดว่าสโมสรฟุตบอลเป็นของเล่นของคนรวย หรือที่มากกว่านั้นก็คือเป็นการฟอกเงินหรือไม่...


เพราะความร่ำรวยของ อบราโมวิช นั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีเรื่องสีเทาๆ ปนอยู่ในนั้นด้วย โดยเฉพาะการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและก๊าซของเขาที่ก่อร่างสร้างความมั่งคั่งให้กับเขาขึ้นมา รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีอย่างแนบแน่นกับทางรัฐบาลของรัสเซีย เพื่อผลประโยชน์ต่อธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลของเขาด้วยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม การเทคโอเวอร์สำเร็จด้วยดี และ อบราโมวิช ก็ย้ำมาตลอดว่าเขาหลงใหลในเกมฟุตบอลเอามากๆ รวมถึงชื่นชอบสโมสรเชลซีมากเช่นกัน และแน่นอนว่าการกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด เสี่ยหมีไม่รอช้า เขาจัดการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลมากกว่า 100 ล้านปอนด์ในปรับปรุงทีมทันที รวมถึงยังเปลี่ยนแปลงโค้ชจาก เคลาดิโอ รานิเอรี่ มาเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เพิ่งจะประสบความสำเร็จกับ เอฟซี ปอร์โต้ กลายเป็นเทรนเนอร์ดาวรุ่งที่มีบุคลิกอหังการ และถูกจับตามองมาที่สุดในยุโรปในเวลานั้น


แน่นอนว่านับตั้งแต่ยุคที่ มูรินโญ่ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้กับ เชลซี ตั้งแต่ฤดูกาล 2004-05 เป็นต้นมา ที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์ แม้ว่าช่วงแรกๆ ที่ทีมสิงห์บลูส์เริ่มจะมีแชมป์ติดมือ จะถูกแซวว่าเป็นพวก "เชลสกี้" (ล้อไปกับการที่มีเศรษฐีรัสเซียอย่าง อบราโมวิช เป็นเจ้าของ) และเป็นพวกที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จ บางคนหนักถึงขั้นประนามว่า เชลซี ก็แค่สโมสรที่ไม่มีรากเหง้า ไม่มีประวัติศาสตร์ ที่ได้แชมป์ก็เพราะเม็ดเงินของเสี่ยหมีเท่านั้นแหละ


แต่ใครจะสนล่ะ สำหรับ อบราโมวิช แล้ว เขามีแต่ความรักที่มีให้กับ เชลซี เท่านั้น ถ้าสโมสรแห่งนี้ไม่มีประวัติศาสตร์ ถ้าอย่างนั้นก็เขียนมันขึ้นมาในยุคสมัยของเขาซะเลยสิ! และหลังจากนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียว เวลาล่วงเลยมาแล้ว 19 ปีนับตั้งแต่ที่มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมสิงโตน้ำเงินคราม แต่น่าเหลือเชื่อว่าตลอดช่วงเวลาดังกล่าว เชลซี คว้าแชมป์มาครองได้ถึง 21 โทรฟี่!


ก่อนหน้าที่ อบราโมวิช จะเข้ามาเป็นเจ้าของ เชลซี เคยเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือแชมป์ดิวิชั่น 1 ตั้งแต่ปี 1954-55 แต่หลังจากเข้าสู่ยุคของ "Roman Era" ในปี 2003 วันนี้ เชลซี เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วถึง 5 สมัย


นอกจากนี้ยังมีแชมป์เอฟเอ คัพ อีก 5 ครั้ง, แชมป์ ลีก คัพ 3 ครั้ง, คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2 ครั้ง, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย,  ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก อีก 2 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย และแชมป์ล่าสุดคือ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ที่เพิ่งได้ไปสดร้อนๆ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา


จากทั้งหมดที่กล่าวมา เราสามารถพูดได้เต็มปากจริงๆ ว่า เชลซี มีวันนี้ได้เพราะเสี่ยหมีให้โดยแท้...


นอกเหนือจากความเป็นมหาเศรษฐีที่สามารถใช้ทุนทรัพย์บันดาลทุกสิ่งอย่างได้แล้ว เชื่อว่าอีกสิ่งหนึ่งที่แฟนเชลซีทั่วโลก รวมถึงแฟนบอลทีมอื่นๆ ที่มองเข้าไปและเห็นตรงกัน นั่นก็คือวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และการตัดสินใจที่เฉียบขาด


อบราโมวิช มีบุคลิกที่กล้าได้กล้าเสีย ตรงข้ามกับลุคภายนอกของเขาที่เราเห็นว่าดูเป็นคนอารมณ์ดี มีรอยยิ้มอยู่เสมอเวลาที่ปรากฏตัวที่บ็อกซ์ วีไอพี ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งการบริหารงานของเขาที่ เชลซี นี่แหละ ทำให้เห็นว่ามีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร


เวลาที่ต้องการนักเตะคนไหน ถ้าคนนั้นดีจริงและยกระดับให้ทีมได้ เสี่ยหมีไม่เคยลังเลที่จะควักกระเป๋า และถ้าหากว่าผู้จัดการทีมคนไหนรักษามาตรฐานเอาไว้ไม่ได้ ต่อให้มีชื่อเสียงหรือเคยพาทีมคว้าแชมป์เมื่อปีก่อน ก็มีสิทธิ์โดนเด้งออกจากเก้าอี้ได้ทุกเมื่อ


การเปลี่ยนกุนซือบ่อยๆ โดยปกติแล้วมักจะถูกมองว่าไม่ควรทำ เพราะทีมจะขาดความต่อเนื่อง ต้องคอยสร้างใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ใช่กับ เชลซี ที่วิธีการนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเอกสิทธิ์สำหรับพวกเขา


มันอาจจะไม่ใช่ทุกครั้ง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อไหร่ที่ เชลซี ตัดสินใจเปลี่ยนโค้ช พวกเขามักจะกลับมาคว้าแชมป์รายการอะไรสักอย่างได้ทุกทีไป และมักจะเกิดขึ้นในปีนั้นๆ เลยแบบที่ไม่ต้องให้แฟนบอลต้องรอนาน


อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ เชลซี กำลังจะนับถอยหลังความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีกับ โรมัน อบราโมวิช มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันทีทันใด แต่ก็คงอีกไม่นานหลังจากนี้


แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ อบราโมวิช ต้องยอมขายหนึ่งสิ่งที่เขารักมากที่สุดอย่าง เชลซี ออกไป ย่อมมาจากสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน ซึ่งในฐานะที่ อบราโมวิช มีความสนิทสนมเป็นอย่างมากกับตัว วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำของรัสเซีย ย่อมถูกจับตามองและถูกกดดันอย่างมากจากรัฐบาลของสหราชอาณาจักร


แม้ว่าก่อนหน้านี้ อบราโมวิช จะใช้วิธีการถอนตัวเองออกมา แล้วยกให้ เชลซี อยู่ในความดูแลของมูลนิธิของทาง เชลซี เอง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เพียงพอ และอาจจะไม่สามารถทำได้ในทางกฎหมาย สุดท้ายแล้วการประกาศขายสโมสร จึงถือว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำได้ในเวลานี้


ส่วนใครจะเข้ามาเป็นเจ้าของเชลซีคนใหม่ คงต้องรอติดตามกันต่อไป จากรายงานข่าวที่ออกมาเชื่อว่าน่าจะเป็นการร่วมทุนจากมหาเศรษฐีหลายๆ คน ไม่ใช่เจ้าของเป็นใหญ่คนเดียว ในแบบที่ เชลซี คุ้นเคยมาร่วมๆ 20 ปี


ถือว่าเป็นหมุดหมายที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรเชลซีอีกครั้ง และการไปของ อบราโมวิช ก็น่าสนใจว่า เชลซี จะยังสามารถคงสถานะความยอดเยี่ยมของตัวเองเอาไว้ได้หรือไม่


อาจจะยังไม่เห็นผลในทันที แต่ผ่านไปอีก 3-4 ปีก็น่าสนใจเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร และก็ไม่รู้ว่าการบริหารงานของเจ้าของรายใหม่จะทำได้ดีเหมือนสมัยของ อบราโมวิช รึเปล่า


แต่ถ้าหากว่าจะมีการมอบรางวัลเจ้าของสโมสรฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปี ผมจะไม่แปลกใจเลยหากว่าคนที่คว้ารางวัลจะเป็น โรมัน อบราโมวิช


เพราะตั้งแต่ที่รู้จักฟุตบอล และเริ่มดูกีฬาชนิดนี้แบบจริงๆ จังๆ มามากกว่า 30 ปี ผมค่อนข้างมั่นใจว่ายังไม่เคยเจอเจ้าของทีมคนไหนสุดยอดเหมือนกับเสี่ยหมีคนนี้เลยจริงๆ...


JOVEN

ภาพจาก Getty Images

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial