พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2022-23 กำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้วในวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคมนี้ โดยเกมแรกจะเป็นคิวของ คริสตัล พาเลซ พบ อาร์เซน่อล ในช่วง 02.00 น. คืนวันศุกร์ตามเวลาในประเทศไทย
แน่นอนว่าฤดูกาลนี้ คงจะเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่มีความเข้มข้นในการขับเคี่ยวแย่งแชมป์ แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล จะถูกยกให้เป็นสองทีมเต็งที่มีโอกาสได้แชมป์มากที่สุด แต่ถ้ามองดูการเสริมทัพของอีกหลายๆ ทีม โดยเฉพาะในกลุ่มบิ๊ก 6 ด้วยกัน ก็ต้องบอกว่าน่าสนใจ และอาจจะทำให้การแย่งแชมป์ปีนี้มีมากกว่าสองทีมก็เป็นได้
หรืออย่างน้อยๆ ทีมเหล่านี้นี่แหละที่จะเป็นตัวแปร คอยขัดขวางไม่ให้การเดินหน้าคว้าแชมป์ของทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ง่ายเกินไปนัก ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ เจอร์เก้น คล็อปป์ สร้างมาตรฐานของทีมที่จะขึ้นไปมีลุ้นคว้าแชมป์ลีกเอาไว้สูงลิบ
คิดแบบง่ายๆ ว่า ถ้าคุณอยากมีลุ้นแชมป์ ต้องทำแต้มให้ได้อย่างน้อย 90 คะแนนขึ้นไป ถ้าอยู่แค่ระดับ 70 ปลายๆ หรือ 80 กลางๆ ดีที่สุดคือมีลุ้นท็อป 4 เท่านั้น ยิ่งถ้าเราย้อนกลับไปดูตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ปี 2016-17 เป็นต้นมา มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ทีมแชมป์ได้ไม่ถึง 90 แต้ม คือในฤดูกาล 2019-20 ที่ แมนฯ ซิตี้ ได้เพียง 86 แต้ม แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วทีมแชมป์จะมีแต้มทะลุ 90 คะแนนทั้งหมด สูงสุดเคยทะลุไปถึง 100 แต้มของ แมนฯ ซิตี้ 2017-18 และยังมี 99 แต้มของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2019-20 ส่วนในฤดูกาลล่าสุดที่ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ ก็ยังเก็บได้ถึง 93 แต้ม
ดังนั้น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในปัจจุบัน ทีมที่จะเป็นแชมป์ได้ต้องมีมาตรฐานที่สูงมากๆ แต่อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลนี้ บางทีแชมเปี้ยนอาจจะเก็บได้ไม่ถึง 90 คะแนนก็เป็นได้ เพราะความสูสีที่น่าจะมีมากขึ้น จากการที่บรรดาทีมต่างๆ ต่างพยายามเสริมทีมกันอย่างเต็มที่
ซึ่งก็น่าบังเอิญที่ทีมในกลุ่มบิ๊ก 6 อย่าง แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, อาร์เซน่อล และ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่างก็มีนักเตะใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาหมาดๆ ในซัมเมอร์นี้ และก็เป็นคนที่เชื่อว่าแฟนๆ น่าจะคาดหวังให้สร้างอิมแพ็คอะไรสักอย่างให้กับทีม
แม้ว่าตอนนี้ตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์จะยังไม่ปิดทำการ แต่วันนี้เราจะไปดูกันสักหน่อยว่าจนถึงวินาทีนี้ ในบรรดาทั้ง 6 ทีมพวกเขามีใครบ้างที่ย้ายเข้ามาใหม่และถูกคาดหวังจากแฟนบอลมากที่สุด
1. แมนเชสเตอร์ ซิตี้
สำหรับทีมเรือใบสีฟ้าแล้ว คงจะไม่มีใครที่จะถูกคาดหวังมากไปกว่า เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ที่เพิ่งย้ายจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาร่วมทีมด้วยค่าฉีกสัญญา 51 ล้านปอนด์
ที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว ขนาดในฤดูกาลที่ผ่านมาไม่มีกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติ หลังการย้ายออกไปของ เซร์คิโอ อเกวโร่ พวกเขายังยิงกันได้เกือบ 100 ลูก แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขามียอดกองหน้าที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงมากที่สุดคนหนึ่งของวงการอย่าง ฮาแลนด์ เข้ามาเสริมทัพ ย่อมต้องทำให้ใครหลายคนคาดหวังถึงประตูเป็นกอบเป็นกำที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
แม้ว่าในเกมคอมมูนิตี้ ชิลด์ ที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ จะแพ้ต่อ ลิเวอร์พูล ไป 1-3 อีกทั้ง ฮาแลนด์ ยังไม่สามารถทำประตูได้ และถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ดาร์วิน นูนเญซ ของ ลิเวอร์พูล ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาสร้างความแตกต่าง แต่หลายๆ ฝ่ายก็ยังมั่นใจว่า ฮาแลนด์ ยังคงเป็นตัวอันตราย และจะทำให้เกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ สมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน
2. ลิเวอร์พูล
ทีมหงส์แดงไม่ได้ซื้อนักเตะใหม่มากมายนัก แต่ก็ทุ่มงบประมาณไปไม่น้อย เพราะกองหน้าคนใหม่ที่พวกเขาดึงตัวมาอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ มีค่าตัวระดับ 100 ล้านยูโรหรือ 85 ล้านปอนด์เลยทีเดียว ซึ่งก็แน่นอนว่าต่อให้ไม่อยากจะกดดัน แต่ตัวของ นูนเญซ เองย่อมต้องรู้สึกถึงความคาดหวังจากแฟนหงส์แดงทั่วโลกอย่างแน่นอน
กองหน้าทีมชาติอุรุกวัยรายนี้มีผลงานที่เปรี้ยงปร้างมากๆ กับ เบนฟิก้า ในฤดูกาลที่ผ่านมา และนั่นคือเหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ยอมที่จะจ่ายแพงขนาดนี้เพื่อดึงตัวมาเสริมความคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ ซาดิโอ มาเน่ ตัดสินใจอำลาทีมไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค นั่นก็เพียงพอแล้วที่ ลิเวอร์พูล ต้องขยับตัวในตลาดนักเตะ ก่อนจะปิดดีลได้ นูนเญซ เข้ามาเป็นตัวแทน
ในส่วนของการยืนตำแหน่ง แน่นอนว่า นูนเญซ คงไม่ได้มาแทนที่ มาเน่ เพราะบุคลิกและแนวทางการเล่นก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยอดีตกองหน้าเบนฟิก้ามีความเป็นกองหน้าตัวเป้าหรือสไตรค์เกอร์มากกว่า และที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ในยุคของ คล็อปป์ ขาดแคลนกองหน้าแบบนี้มาโดยตลอด ขณะที่คนที่เล่นตำแหน่งนี้เดิมคือ โรแบร์โต้ ฟิร์มิโน่ ก็มีความเป็น False 9 หรือหมายเลข 9 ตัวปลอมมากกว่าที่เป็นกองหน้าตัวจบสกอร์
ดังนั้น ต่อให้ไม่อยากคาดหวัง แต่ด้วยราคาระดับนี้ แฟนๆ ย่อมคาดหวังอย่างแน่นอน และก็ดูมีสัญญาณที่ดีเพราะ นูนเญซ ดูจะปรับตัวได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ ความประหม่าน้อยลง และสร้างผลงานได้ในทันทีในเกมคอมมูนิตี้ ชิลด์ ที่ผ่านมา ซึ่งเขามีส่วนช่วยให้ทีมได้จุดโทษ และยังเป็นคนยิงประตูปิดท้าย ตอกย้ำชัยชนะให้กับทีมได้อีกด้วย
3. เชลซี
ทีมสิงห์บลูส์ยังอยู่ในระหว่างการลงตลาด รายงานข่าวระบุว่าพวกเขายังต้องการนักเตะเข้ามาเพิ่มอีกหลายคน โดยเฉพาะในส่วนของแนวรับ แต่ถ้าเรามองไปที่นักเตะใหม่ของทีมจนถึงตอนนี้ คนที่น่าจะถูกคาดหวังมากที่สุดน่าจะหนีไม่พ้น ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ย้ายมาจาก แมนฯ ซิตี้ ด้วยค่าตัวระดับเฉียดๆ 50 ล้านปอนด์
ถ้าเราดูเผินๆ อาจจะรู้สึกว่า เชลซี มีนักเตะในสไตล์แบบเดียวกับ สเตอร์ลิ่ง เยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียน พูลิซิช, ฮาคิม ซิเย็ค หรือ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่เป็นความต้องการของ โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือของทีมโดยตรง เพราะเขาต้องการปีกที่เป็นปีกธรรมชาติ และยังสามารถที่จะสร้างโอกาสหรือจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม ซึ่งทั้งหมดนี้มีอยู่ในตัวของ สเตอร์ลิ่ง ดูได้จากสถิติที่ยิงไป 131 ประตูกับอีก 94 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 337 เกมรวมทุกรายการให้กับทีมเรือใบสีฟ้า
ด้วยระบบการเล่นของ ทูเคิ่ล นี่คือคนที่เขาต้องการนำเข้ามาสู่ทีม นอกจากนี้ สเตอร์ลิ่ง ยังมีคาแรคเตอร์ของแชมเปี้ยน จากการสั่งสมมาตลอด 7 ปีในระหว่างที่อยู่กับ แมนฯ ซิตี้ ถึงขนาดที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ อดีตกองหน้าของทีมเรือใบสีฟ้าถึงกับเป็นงงที่เห็นอดีตต้นสังกัดของตัวเองยอมปล่อย สเตอร์ลิ่ง ให้กับ เชลซี ซึ่งในมุมมองของ "เอล กุน" นั้น ได้บอกออกมาอย่างชัดเจนว่านี่คือการยื่นหอกให้ศัตรูชัดๆ
4. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
นี่คือทีมที่มีการเสริมทีมที่น่าสนใจที่สุดในบรรดากลุ่มบิ๊ก 6 และยังใช้เงินไม่มากเกินความจำเป็นอีกด้วย ซึ่งแต่ละตัวที่ได้เข้ามาในช่วงซัมเมอร์นี้ก็น่าสนใจกันทั้งนั้น
แต่ถ้าพูดถึงดีลที่แฟนไก่เดือยทองน่าจะคาดหวังมากเป็นพิเศษ ก็น่าจะหนีไม่พ้น ริชาร์ลิซอน กองหน้าทีมชาติบราซิลที่ไปดึงตัวมาจาก เอฟเวอร์ตัน ด้วยค่าตัวระดับ 60 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็นราคาที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน สเปอร์ส ถือเป็นทีมที่มีกลุ่มผู้เล่นแนวรุกที่ดีมากๆ อยู่แล้วทั้ง แฮร์รี่ เคน, ซน ฮึง-มิน และ เดยัน คูลูเซฟสกี้ แต่การดึงตัว ริชาร์ลิซอน เข้ามาเพิ่มมิติในเกมรุกนั้น เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
อันดับแรกเลยก็คือ ริชาร์ลิซอน เป็นกองหน้าที่เล่นได้ในทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นริมเส้นทั้งสองข้างหรือว่าหน้าเป้า การมาของเขาทำให้ อันโตนิโอ คอนเต้ มีความหลากหลายในเกมรุก และยังสามารถพักตัวหลักบางคนได้โดยที่่ไม่ต้องเสียความแข็งแกร่งลงไปมาก
นอกจากนี้ ริชาร์ลิซอน ยังมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างจากแนวรุกคนอื่นที่ สเปอร์ส มีอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของความทุ่มเท วิ่งสู่ฟัดกัดไม่ปล่อย จนหลายครั้งออกแนวดิบเถื่อนไปเลยก็มี อย่างเช่นสมัยที่เล่นให้กับ เอฟเวอร์ตัน แต่การได้มาอยู่กับ สเปอร์ส เขาอาจจะสามารถลดความ Aggressive ลง และใช้เทคนิคให้มากขึ้นได้ เพราะองค์ประกอบของ สเปอร์ส นั้นดีกว่าที่ เอฟเวอร์ตัน แบบเทียบกันไม่ติด
ดังนั้น ริชาร์ลิซอน น่าจะเป็นนักเตะใหม่ที่ได้รับการคาดหวังมากที่สุดแล้วจากแฟนสเปอร์สในตลาดนักเตะรอบนี้
5. อาร์เซน่อล
ทีมปืนใหญ่ของ มิเกล อาร์เตต้า ใช้เงินในการเสริมทัพสูงที่สุดในลีกตอนนี้เลยก็ว่าได้ หลังกดไป 118 ล้านปอนด์แล้ว และเหมือนว่าพวกเขายังจะไม่หยุดเพียงเท่านี้
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่ย้ายเข้ามาและแฟนๆ คาดหวังถึงการสร้างอิมแพคมากที่สุด นั่นคือ กาเบรียล เชซุส ที่ อาร์เซน่อล ยอมจ่าย 47 ล้านปอนด์ให้ แมนฯ ซิตี้ และเป็นนักเตะคนแรกๆ ที่ อาร์เตต้า อยากได้เข้ามาในซัมเมอร์นี้ ซึ่งกองหน้าบราซิเลียนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อในช่วงปรีซีซั่นจัดการยิงไปถึง 7 ประตู เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องปรับตัวเลย
สาเหตุส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะว่า เชซุส คุ้นเคยกับ อาร์เตต้า ดีอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยกุนซือชาวสเปนทำงานเป็นมือขวาของ กวาร์ดิโอล่า ที่ แมนฯ ซิตี้ นอกจากนี้ด้วยประสบการณ์ของ เชซุส และบทบาที่เขาได้รับที่ อาร์เซน่อล ทำให้เขาเข้ามาเป็นตัวแบกเกมรุกให้กับทีมได้แบบไร้รอยต่อ และดูกลมกลืนกับบรรดาแนวรุกวัยหนุ่มคนอื่นๆ ที่ทีมปืนใหญ่มี ไม่ว่าจะเป็น เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์, มาร์ติน โอเดการ์ด และ บูคาโย่ ซาก้า
เชซุส คือการเสริมทัพที่เกาถูกที่คันมากๆ ของ อาร์เซน่อล และถ้าถามว่าใครคือคนที่แฟนปืนใหญ่จะคาดหวังมากที่สุดในปีนี้ ย่อมหนีไม่พ้นตัวเขาอย่างแน่นอน
6. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ทีมปีศาจแดงที่มี เอริค เทน ฮาก ก้าวเข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่ กำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง รวมถึงการสร้างทีมขึ้นมาใหม่ เพราะหลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา ก็มีนักเตะหลายคนที่อำลาทีมไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นประเภทหมดสัญญา ไม่ว่าจะเป็น ปอล ป๊อกบา, เจสซี่ ลินการ์ด, เอดินสัน คาวานี่ หรือแม้แต่จะเป็น ฆวน มาต้า และ เนมานย่า มาติช
ขณะที่การเสริมทัพก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทีมไม่ได้ไปเล่นใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เป้าหมายที่อยากได้มากที่สุดอย่าง เฟรงกี้ เดอ ยอง ก็ปัญหาติดขัดมากมาย จนทำให้ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตัวมา และบางอีกอาจจะโดนทีมอื่นตัดหน้าด้วยซ้ำ หลังจากที่ตอนนี้มีรายงานว่า เชลซี เริ่มที่จะขยับตัวแล้ว
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เองก็สร้างปัญหา แม้ไม่พูดตรงๆ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาอยากย้ายทีมเพราะต้องการจะลงเล่นในรายการอย่าง แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อไป เรียกได้ว่างานของ เทน ฮาก ในการจะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งนั้นไม่ง่ายเลย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทีมปีศาจแดงได้นักเตะใหม่เข้ามา 3 คนแล้ว และอาจจะมีลุ้นเพิ่มอีกสัก 1-2 รายในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนตลาดหน้าร้อนจะปิดตัวลง แต่ถ้าถามว่าใครที่แฟนๆ คาดหวังมากที่สุด น่าตลกที่เป็นนักเตะที่ได้มาฟรีๆ อย่าง คริสเตียน เอริคเซ่น
อย่างที่ทราบกันว่าปัญหาของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วง 2-3 ปีหลังสุด คือแดนกลางที่ไม่มีความแน่นอน เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ไม่ใช่คนที่จะฝากความหวังไว้ได้ทั้งในเรื่องของการครองบอลหรือการผ่านบอล ดังนั้นการมาของ เอริคเซ่น คือคนที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
แม้ว่า เฟรงกี้ เดอ ยอง คือคนแรกๆ ที่ เทน ฮาก อยากได้ตัวมาร่วมงาน แต่การที่กุนซือดัตช์ไม่ได้มองข้ามชื่อของ เอริคเซ่น ไปถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ และบางทีกองกลางทีมชาติเดนมาร์ก คือแผนการที่ เทน ฮาก อาจจะวางไว้กันเหนียวในกรณที่สุดท้ายแล้วไม่ได้ตัว เดอ ยอง มาร่วมทีมจริงๆ
เอริคเซ่น อาจจะอยู่ในวัย 30 ปี และเคยผ่านการเป็นโรคหัวใจวายเฉียบพลันเมื่อปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ และพิสูจน์ฟอร์มให้เห็นมาแล้วกับ 11 เกมสุดท้ายในฤดูกาลก่อนกับ เบรนท์ฟอร์ด ดังนั้นการได้ตัวเขามาฟรีๆ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีแต่กำไรไม่มีขาดทุนอย่างแน่นอน
และถ้าหากว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้ใครเข้ามาเพิ่มอีกในช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้ เอริคเซ่น ก็น่าจะเป็นคนที่แฟนๆ ปีศาจแดงอยากจะเห็นฟอร์มการเล่นแบบเต็มๆ มากที่สุดแล้ว...
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial