รูดม่านเปิดฉากฤดูกาลใหม่ พรีเมียร์ลีก 2024-25

รูดม่านเปิดฉากฤดูกาลใหม่ พรีเมียร์ลีก 2024-25
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลใหม่ 2024-25 เปิดฉากขึ้นแล้วในวันนี้ โดยประเดิมคู่แรก แมนฯ ยูไนเต็ด ปะทะ ฟูแล่ม ในเวลา 02.00 น. ของวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม หรือก็คือช่วงกลางดึกคืนวันศุกร์ตามเวลาในประเทศไทย

เรียกได้ว่ารอคอยกันไม่นาน เพราะในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา มีทั้งศึกยูโร 2024 ต่อด้วย โอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงปารีส ทำให้คอกีฬาไม่รู้สึกเหงากันสักเท่าไหร่ และทั้งสองรายการที่พูดถึงก็สามารถรับชมการถ่ายทอดสดผ่านทาง ทรูวิชั่นส์ ได้ครบตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม สำหรับคอบอลคงไม่มีอะไรที่จะตื่นเต้นเร้าใจไปมากกว่าศึกพรีเมียร์ลีกอีกแล้ว ซึ่งในฤดูกาลนี้หลายๆ ทีมก็มีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะทีมในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่ม Big 6 น่าสนใจว่าในฤดูกาลนี้จะยังคงรักษาตำแหน่งของตัวเองให้อยู่ในกลุ่มนี้เอาไว้ได้หรือไม่ หรือว่าจะถูกท้าทายโดยทีมใหม่ๆ ที่พยายามยกระดับตัวเองขึ้นมา

อย่างเช่นในฤดูกาลที่แล้ว เป็นทาง แอสตัน วิลล่า ของ อูไน เอเมรี่ ที่แย่งพื้นที่ท็อป 4 จาก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไปได้ ขณะที่ทีมใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี กลับมีผลงานที่ตกลงไปและน่าผิดหวัง

วันนี้เราจะมาส่องกันหน่อยว่าบรรดาทีมที่อยู่ในกลุ่ม Big 6 นั้น มีความพร้อมแค่ไหนที่จะลุยศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ และแต่ละทีมจะมีโอกาสแค่ไหนในการลุ้นแชมป์หรือการจบฤดูกาลในพื้นที่ท็อป 4

1. แมนฯ ซิตี้
แน่นอนว่าทีมเรือใบสีฟ้าของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมาตรฐานการเล่นและขุมกำลังของพวกเขานั้นอยู่สูงกว่าทุกทีม มาในฤดูกาลนี้พวกเขาก็ยังคงถูกมองว่าเป็นเต็งแชมป์เหมือนเดิม แม้ว่าการปรับเปลี่ยนเรื่องขุมกำลังจะไม่ได้มีมากมายนัก จนถึงตอนนี้เพิ่งจะซื้อปีกดาวรุงอย่าง ซาวินโญ่ เข้ามาร่วมทีมแค่รายเดียว อีกทั้งยังต้องเสียตัวสำคัญอย่าง ฮูเลียน อัลวาเรซ กองหน้าอาร์เจนไตน์ ไปให้กับ แอตเลติโก มาดริด ด้วย

แต่จากการที่ตลาดนักเตะยังไม่ปิดตัวลง เรายังมีโอกาสที่จะได้เห็น แมนฯ ซิตี้ คว้าผู้เล่นที่มีคุณภาพเข้ามาเพิ่มอย่างแน่นอน แต่กระนั้นแม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะเป็นทีมที่มีความคงเส้นคงวามากที่สุดในการเล่นทั้ง 38 เกมในลีก แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขาจะลดมาตรฐานตัวเองลงไปไม่ได้เลย เพราะเชื่อว่าทีมที่ผิดหวังมาแล้ว 2 ฤดูกาลติดอย่าง อาร์เซน่อล จะยิ่งเน้นเต็มที่มากกว่าเดิม และหวังที่จะแย่งแชมป์มาจากทีมเรือใบสีฟ้าให้ได้ในฤดูกาลนี้

แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าฤดูกาลนี้อาจจะยากกว่าเดิม แต่จนถึงตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ก็ยังเป็นทีมที่ดูดีที่สุดที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลใหม่ไปครอง ผลงานการคว้าแชมป์ลีก 4 สมัยติดเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี อยู่ที่ทีมอื่นๆ แล้วว่าจะยกระดับขึ้นมาให้เหนือกว่าพวกเขาได้หรือไม่

2. อาร์เซน่อล
ทีมปืนใหญ่ของ มิเกล อาร์เตต้า ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์แบบเต็มตัวในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา เรียกได้ว่าอีกเพียงนิดเดียวก็จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้อีกครั้ง หลังจากที่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นตั้งแต่ฤดูกาล 2003-04 ในยุคสมัยของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่ในครั้งนั้นยังเป็นการคว้าแชมป์แบบไร้พ่ายอีกด้วย และเป็นทีมเดียวในอังกฤษที่ทำได้จนถึงตอนนี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ อาร์เซน่อล ในปัจจุบันยังขาดไปคือความเด็ดขาด และสมาธิในเวลาที่สำคัญ เพราะการจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในยุคสมัยนี้ หรืออย่างน้อยก็คือตราบใดที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังไม่ลาออกจากการคุมทีม แมนฯ ซิตี้ ทีมที่จะเป็นแชมป์ได้นั้นไม่สามารถฟอร์มหลุดแบบติดๆ กัน ถ้าแพ้แล้วต้องกลับมาได้ในทันที

แต่เมื่อซีซั่นที่แล้วจุดสำคัญที่ทำให้ อาร์เซน่อล ไปไม่ถึงฝั่งฝันคือฟอร์มการเล่นที่หลุดวงโคจรไปในช่วงเดือนธันวาคมที่พลาดท่าแพ้ไปถึง 3 เกม และจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มในเดือนเมษายนที่ไปพลาดท่าพ่ายคาบ้านต่อ แอสตัน วิลล่า ทำให้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ไล่ตาม แมนฯ ซิตี้ ไม่ทันนับตั้งแต่นั้น ทั้งๆ ที่อุตส่าห์เก็บได้ถึง 4 คะแนนจากการเจอกับทีมเรือใบสีฟ้าเหย้าเยือนแล้วแท้ๆ

แต่กระนั้นด้วยประสบการณ์ที่มากกว่าเดิม รวมถึงการเสริมทัพที่แม้ว่าจะยังไม่มาก แต่เป็นการเสริมเพื่อความสมบูรณ์ที่มากขึ้นจากการดึงตัว ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ปราการหลังทีมชาติอิตาลีเข้ามาเสริมทัพ ทำให้ อาร์เซน่อล ที่ขุมกำลังดีอยู่แล้ว และยังมีแนวทางการเล่นที่ดี น่าจะยังเป็นทีมที่เข้าใกล้การแย่งแชมป์จาก แมนฯ ซิตี้ ได้มากที่สุดเหมือนฤดูกาลที่ผ่านมา

3. ลิเวอร์พูล
ทีมหงส์แดงน่าจะเป็นทีมที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงแบบชัดเจนมากที่สุดในบรรดาทีมจากกลุ่ม Big 6 เมื่อ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือที่ดีที่สุดเท่าที่ ลิเวอร์พูล เคยมีมานับตั้งแต่ยุค 80 ที่เคยครองความยิ่งใหญ่ ได้ประกาศลาออกจากการคุมทีมหลังจบฤดูกาลที่แล้ว ทำให้สโมสรตัดสินใจดึงตัวกุนซือดัตช์ไฟแรงอย่าง อาร์เน่อ สลอต วัย 45 ปี มาจาก เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม

แน่นอนว่าใครก็ตามที่ต้องมารับไม้ต่อจาก คล็อปป์ ย่อมต้องเจอกับแรงกดดัน, การเปรียบเทียบ และการถูกตั้งคำถามอย่างไม่ต้องสงสัย แถมฝ่ายบริหารยังสร้างความไม่พอใจให้แฟนบอลมากขึ้นไปอีก เมื่อจนถึงตอนนี้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมเดียวในพรีเมียร์ลีกที่ยังไม่มีการเสริมทีมใหม่เลยแม้แต่รายเดียว หลังจากที่เป้าหมายหลักอย่าง มาร์ติน ซูบีเมนดี้ กองกลางทีมชาติสเปนของ เรอัล โซเซียดาด ได้ตอบปฏิเสธที่จะย้ายไปเรียบร้อย

แม้ว่าฟอร์มการเล่นในช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซั่นจะทำได้ค่อนข้างดี เมื่อแพ้แค่เกมเดียวจากทั้งหมด 6 เกม แถมยังชนะได้ถึง 4 นัด ซึ่งในจำนวนนั้นมีเกมที่เอาชนะทั้ง อาร์เซน่อล และ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการทัวร์ที่สหรัฐฯ อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นคงต้องไปวัดกันอีกทีเมื่อฤดูกาลจริงเริ่มขึ้นว่าการทำงานของ สลอต จะตอบโจทย์เสียงเชียร์และความคาดหวังของแฟนหงส์แดงทั่วโลกได้หรือไม่ ซึ่งจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า โอกาสลุ้นแชมป์ลีกของ ลิเวอร์พูล คงมีไม่มากนัก และการติดท็อป 4 น่าจะเป็นเป้าหมายแรกที่กุนซือดัตช์ต้องทำให้สำเร็จในปีแรกของเขากับ ลิเวอร์พูล

4. แมนฯ ยูไนเต็ด
ทีมปีศาจแดงของ เอริค เทน ฮาก มีผลงานที่จัดว่าน่าผิดหวังสุดๆ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา หากว่านับเฉพาะผลงานในลีกเพียงอย่างเดียว เมื่อจบเพียงแค่อันดับที่ 8 ของตาราง กลายเป็นสถิติย่ำแย่สุดของทีมเมื่อเข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีก แต่กระนั้นก็มีผลงานในเอฟเอ คัพ เข้ามาช่วย เมื่อจัดการล้ม แมนฯ ซิตี้ ในรอบชิงชนะเลิศ และคว้าแชมป์มาครองได้อย่างพลิกความคาดหมาย ทำให้คว้าสิทธิ์ไปเล่นใน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ในปีนี้ได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่ตอนแรกอันดับในลีกนั้นไม่เพียงพอแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ เทน ฮาก ทำได้ ยังคงต่ำกว่าความคาดหวังของแฟนบอลปีศาจแดงอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางการเล่นที่ดูไม่สร้างสรรค์ ทีมเวิร์คค่อนข้างต่ำ และมักจะกลายเป็นทีมที่โดนคู่แข่งบุกเข้าใส่ได้มากกว่าอยู่เสมอ ไม่ว่าทีมที่เจอจะเป็นทีมใหญ่ ทีมขนาดกลาง หรือว่าทีมเล็ก เกมรุกฝืดเคืองยิงประตูได้น้อยมากๆ ขณะที่เกมรับก็เสียประตูมากเช่นกัน เรียกได้ว่าตลอดทั้งซีซั่นที่ผ่านมาแทบจะไม่มีเกมที่เล่นได้น่าประทับใจเลย

อย่างไรก็ดี แมนฯ ยูไนเต็ด มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างที่ค่อนข้างมาก นับตั้งแต่การเข้ามาถือหุ้นของ เซอร์ จิม แร็ทคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษที่เป็นแฟนบอลตัวยงของ แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้กลุ่มที่ชื่อว่า INEOS ทีมปีศาจแดงมีการเปลี่ยนทีมบริหารเกือบยกชุด ตั้งแต่ซีอีโอ, ผู้อำนวยการกีฬา และผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค ที่เลือกใช้ทีมงานที่เป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์จริงและเข้าใจฟุตบอลจริงๆ ทำให้การทำงานในตลาดซื้อขายมีความฉับไว คว้านักเตะมาร่วมทีมได้ถึง 4 รายภายในเวลาสั้นๆ ถือเป็นมิติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับทีมปีศาจแดงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

นั่นทำให้การทำงานของ เอริค เทน ฮาก ดูจะได้รับการสนับสนุนมากกว่าเดิม แถมทีมงานสตาฟฟ์โค้ชยังดึงตัวระดับกุนซืออย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย และ เรอเน่ ฮาค เข้ามาเป็นมือขวาอีก ทำให้ปีนี้น่าจับตามองว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะยกระดับตัวเองขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ในทางกลับกัน ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ เทน ฮาก ต้องทำอะไรบางอย่างที่จับต้องได้มากกว่าเดิม เพราะนี่เป็นปีที่ 3 ในการทำงานของกุนซือดัตช์แล้ว หากทำให้ทีมเล่นได้ไม่ต่างจากปีก่อน คงยากที่จะอยู่ได้แบบยาวๆ ดังนั้นเป้าหมายของทีมปีศาจแดงในปีนี้ คือการต้องติดท็อป 4 ให้ได้สถานเดียวเท่านั้น ถ้าน้อยกว่านี้คงเป็นอะไรที่น่าผิดหวัง

5. เชลซี
ทีมสิงโตน้ำเงินครามเป็นอีกทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวกุนซือเช่นกัน เมื่อสโมสรจัดการปลด เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไปหลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา ก่อนจะเลือก เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซืออิตาเลียนของ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่พาทีมจิ้งจอกสยามเลื่อนชั้นกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งเข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่แทน

ผลงานของ เชลซี ในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเป็นปีแรกในการทำงานของ โปเช็ตติโน่ ถือว่าน่าผิดหวังอย่างไม่ต้องถกเถียงกัน แม้ว่าช่วงสุดท้ายจะเร่งเครื่องจนสามารถขึ้นมาจบอันดับที่ 6 ของตารางได้ แต่จากการที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แชมป์เอฟเอ คัพ ทำให้พวกเขาต้องตกไปเล่นในถ้วยเล็กอย่าง ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก เท่านั้น นั่นทำให้ โปเช็ตติโน่ ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งก็ยังตอบไม่ได้เหมือนกันว่าผู้บริหารใจร้อนเกินไปหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การมาของ มาเรสก้า เห็นได้ชัดว่าผู้บริหารของเชลซี ต้องการกุนซือที่มีแนวทางการเล่นที่ชัดเจน และเล่นฟุตบอลเชิงรุก ถึงแม้ว่า มาเรสก้า จะไม่ได้มีชั่วโมงบินที่สูงนัก แต่ก็ถือเป็นกุนซือที่น่าจับตามอง และผลงานกับ เลสเตอร์ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาก็โดดเด่นมาก ทำให้ เชลซี ยอมที่จะมอบโอกาสนั้น แต่กระนั้นก็คงต้องติดตามกันไปแบบยาวๆ เพราะการคุมทีมอย่าง เชลซี นั้นไม่เคยง่าย แฟนบอลคาดหวังสูง และการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นได้เสมอ แน่นอนว่าเป้าหมายของทีมต้องไม่น้อยกว่าท็อป 4 เช่นกัน ซึ่งก็ยังน่าเป็นห่วงสำหรับ มาเรสก้า ว่าจะทำได้หรือไม่

6. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ทีมไก่เดือยทองของ แอนจ์ พอสเตโคกลู เป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ได้ค่อนข้างมากในฤดูกาลที่แล้ว เพราะก่อนจะเริ่มต้นซีซั่น แทบไม่มีใครเชื่อว่า สเปอร์ส จะอยู่ในกลุ่มหัวตารางได้จนจบซีซั่น เพราะการเปลี่ยนกุนซือมาเป็น พอสเตโคกลู ที่ค่อนข้างโนเนม และไม่ได้มีประสบการณ์คุมทีมใหญ่ๆ เลยในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่การไปของ แฮร์รี่ เคน ก็น่าจะยิ่งทำให้ทีมขาดคนยิงประตู และไม่มีใครที่เข้ามาทดแทนได้

อย่างไรก็ตาม สเปอร์ส กลับกลายมาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลเกมรุกอย่างดุดัน เล่นฟุตบอลสนุก ทั้งๆ ที่ทีมก็เป็นนักเตะชุดเดิมๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ การทำงานของ พอสเตโคกลู บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าผู้จัดการทีมมีความสำคัญอย่างไร หากว่าคุณมีผู้จัดการทีมหรือกุนซือที่เก่งพอ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางการเล่นได้แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อใครเข้ามากมายก็ตาม

แต่ปัญหาของ สเปอร์ส คือขนาดทีมที่ยังไม่ใหญ่พอ และตัวสำรองยังทดแทนตัวจริงไม่ได้ ทำให้เวลาที่ต้องเจอกับปัญหาบาดเจ็บรบกวน ผลงานของทีมก็สวิงไปมา มีช่วงเวลาที่แพ้ติดๆ กัน จนทำให้ท้ายที่สุดถูก แอสตัน วิลล่า แย่งอันดับ 4 ไปครองได้แบบฉิวเฉียด แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่น่าชมเชยก็คือ ต่อให้ทีมจะไม่สมบูรณ์แค่ไหน แต่แนวทางการเล่นฟุตบอลเชิงรุกของ พอสเตโคกลู นั้นไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้นหากว่ามีการเสริมทีมที่ดีให้กับเขา เชื่อว่า สเปอร์ส จะเป็นทีมที่หลายคนมองข้ามไปไม่ได้อย่างแน่นอน

และการเสริมทัพในซัมเมอร์นี้ของพวกเขาก็ถือว่าน่าสนใจ เมื่อจัดการทุ่มงบกว่า 65 ล้านปอนด์ ในการดึงกองหน้าอย่าง โดมินิก โซลันกี้ เข้ามาร่วมทีม ชัดเจนว่า สเปอร์ส ต้องการกองหน้าที่เข้ามาแบกผลงานการทำประตูอย่างสม่ำเสมอ ให้ได้เหมือนอย่างที่เคยมี แฮร์รี่ เคน เพียงแต่ปีนี้คงต้องออกแรงเยอะมากหากว่าจะลุ้นติดท็อป 4 เพราะถึงอย่างไรในภาพรวมก็ยังดูเป็นรองอีกหลายทีมที่ดูจะมีความพร้อมมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงแค่การคาดการณ์เท่านั้น เพราะขึ้นชื่อว่าฟุตบอลแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ และมักที่จะมีอะไรที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคิดเสมอ และศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก็ได้ชื่อว่าเป็นลีกที่มีความเข้มข้น และมีความสูสีมากที่สุดในโลก ทีมเล็กๆ พร้อมที่จะสร้างเซอร์ไพรส์ใส่บรรดาทีมใหญ่อยู่ตลอด จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงเป็นลีกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเวลานี้

สำหรับเกมแรกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024-25 จะเปิดฉากขึ้นแล้วในคืนวันนี้ (16 สิงหาคม) เวลา 02.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย และสามารถติดตามการถ่ายทอดสดครบทั้ง 380 แมตช์ ได้ที่ ทรูวิชั่นส์ ที่เดียวเท่านั้น


สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าทรูและดีแทค สมัครแพ็กเกจรับชมพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/25
แพ็กเกจ EPL Season Pass ชมสดครบ 380 แมตช์ ราคา 5,490 บาท

สามารถรับชมได้พร้อมกัน 2 อุปกรณ์ และยังสามารถดู 11 ช่องดัง หนัง ซีรี่ส์ สารคดี การ์ตูน อนิเมะสุดฮิตและอีกมากมายในแพ็กเดียว

ดาวน์โหลดและสมัครได้แล้ววันนี้ ที่แอปใหม่ TrueVisions Now คลิก https://truevisions-now.onelink.me/RQwi/n8mgq1yp

True Visions

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial