ผ่านพ้นฤดูกาล 3 แชมป์อันยิ่งใหญ่สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้ไม่เท่าไหร่ ไม่ทันไร พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลใหม่ก็กำลังจะได้ฤกษ์ลั่นกลองรบกันอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว ก่อนหน้าที่พรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่จะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ ก็ต้องเจอกับศึก เอฟเอ คอมมูนิตี้ ชิลด์ กันก่อน เสมือนเป็นการเรียกน้ำย่อย และเป็น "สัญญาณ" ในการบ่งบอกว่าฟุตบอลอังกฤษได้เวลากลับมาโรมรันกันอีกครั้ง
สำหรับศึก คอมมูนิตี้ ชิลด์ ประจำปี 2023 จะเป็นการปะทะกันระหว่าง "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี้ เจ้าของแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ ทีมล่าสุด พบกับ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล รองแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าตามปกติแล้วฟุตบอลรายการนี้ จะเป็นการเจอกันระหว่างทีมแชมป์ลีก พบกับทีมแชมป์บอลถ้วยอย่าง เอฟเอ คัพ
แต่เนื่องจาก แมนฯ ซิตี้ ประกาศศักดาคว้า "ทริปเปิ้ลแชมป์" กวาดเรียบทุกถ้วยในปีที่ผ่านมา ทำให้ทีมคู่แข่งต้องกลายเป็นทีมอันดับ 2 ของลีกอย่าง อาร์เซน่อล ไปอย่างช่วยไม่ได้ คล้ายกันกับเมื่อปี 1999 ซึ่งในครั้งนั้นยังเรียกรายการนี้ว่า "เอฟเอ แชริตี้ ชิลด์" ก็เป็นการเจอกันระหว่างทีมที่ได้ 3 แชมป์ในฤดูกาลก่อนอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด พบกับ อาร์เซน่อล ที่คว้ารองแชมป์พรีเมียร์ลีกปี 1998-99 เช่นกัน
แน่นอนว่าฟุตบอลรายการนี้ถือเป็นเหมือนสัญญาณระฆังเริ่มต้นฟุตบอลอังกฤษฤดูกาลใหม่อย่างเป็นทางการ และเป็นเหมือนกับการได้อุ่นเครื่องหรือลองทีมอย่างจริงจังกันเป็นเกมสุดท้าย ก่อนที่พรีเมียร์ลีกซีซั่นใหม่จะเปิดฉากขึ้น ทำให้ในช่วงหลายปีหลัง เราจะเห็นหลายๆ ทีมค่อนข้างเอาจริงเอาจังกับเกมนี้ มากกว่าจะมองว่าเป็นเกมอุ่นเครื่องเกมหนึ่ง
การได้โทรฟี่อย่างโล่การกุศลมาครอง อาจจะไม่ใช่โทรฟี่ที่น่าภาคภูมิใจอะไรมากนัก และโดยปกติแล้วเรามักจะไม่นับโทรฟี่นี้เป็นความสำเร็จแบบเป็นรูปธรรม แต่อย่างที่บอกว่าระยะขวบปีหลังๆ หลายทีมที่ได้เล่นเกมนี้ก็ค่อนข้างจะเอาใจใส่กับผลการแข่งขันเป็นพิเศษ
อย่างเช่นในปีก่อนเป็นการเจอกันระหว่าง ลิเวอร์พูล ดีกรีแชมป์เอฟเอ คัพ พบกับ แมนฯ ซิตี้ ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ก็เป็นเกมที่เปิดแลกกันสนุก ก่อนที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเฉียบคมกว่า เป็นฝ่ายเอาชนะเรือใบสีฟ้าไปได้ 3-1 เป็นต้น
ดังนั้น การเจอกันระหว่าง แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ น่าจะเป็นเกมที่มากกว่าการลงไปเตะตามโปรแกรม แต่จะเป็นการพิสูจน์กันอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมปืนใหญ่ของ มิเกล อาร์เตต้า ว่าปีนี้พวกเขาพร้อมแล้วหรือยังที่จะสร้างความลำบากให้กับเรือใบสีฟ้ามากกว่าเดิม
เพราะในฤดูกาลที่แล้วอย่างที่เราได้เห็นกันไปว่า อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายครองตำแหน่งจ่าฝูงได้อย่างยาวนาน จนเกือบจะเข้าป้ายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่สุดท้ายแล้วกลับเสียสมาธิในช่วงปลายซีซั่น ทำแต้มหกเรี่ยราดในช่วงท้าย จนกระทั่งถูก แมนฯ ซิตี้ ที่มีความคงเส้นคงวามากกว่าค่อยๆ ควบแซงเข้าเส้นชัยไปได้ในที่สุด
พูดถึงทีมปืนใหญ่แล้วก็ต้องบอกว่า การเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ของพวกเขามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเดิมที อาร์เซน่อล เป็นทีมที่มีขุมกำลังที่ค่อนข้างดีมากอยู่แล้ว อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างในส่วนของขุมกำลังเชิงลึกโดยเฉพาะในเกมรับ แต่การเสริมทีมในปีนี้ของพวกเขาทำให้ในภาพรวมดูแล้วกลายเป็นทีมที่มีความสมบูรณ์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สามรายที่ดึงเข้ามาใหม่ต่างเป็นนักเตะที่มีดีกรีกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ไค ฮาแวร์ตซ์ แนวรุกทีมชาติเยอรมนีที่ไปดึงมาจาก เชลซี ด้วยค่าตัวระดับ 65 ล้านปอนด์, ยูร์เรียน ทิมเบอร์ ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ย้ายมาจาก อาแจ็กซ์ ในราคา 38.6 ล้านปอนด์ และดีลที่น่าตื่นเต้นที่สุดอย่าง ดีแคลน ไรซ์ กองกลางทีมชาติอังกฤษจาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในราคาระดับสถิติใหม่ของเกาะอังกฤษที่ 105 ล้านปอนด์
การมาของทั้งสามคน จะทำให้ทั้งสามแดนของ อาร์เซน่อล แข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน และยังทำให้ขุมกำลังเชิงลึกดูดีขึ้นอีกไม่น้อย หากว่าทีมปืนใหญ่ปิดตลาดขาเข้าตั้งแต่ตอนนี้เลย ก็น่ามีขุมกำลังที่เพียงพอในการที่จะลุ้นความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่เชื่อเหลือเกินว่าพวกเขาต้องการกลับไปที่จุดนั้นอีกครั้ง
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ นั้นไม่ต้องพูดถึง ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นดูจะไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะเสีย อิลคาย กุนโดกัน และ ริยาด มาห์เรซ ที่ย้ายออกจากทีมไปเรียบร้อยแล้ว แต่ขุมกำลังที่พวกเขามีต่างทดแทนกันได้อย่างสบาย อย่างในส่วนตำแหน่งของ มาห์เรซ ก็มีทั้ง แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ ฟิล โฟเด้น ที่ลงเล่นได้ ส่วนแดนกลางนั้นได้ มาเตโอ โควาซิช จาก เชลซี เข้ามาทดแทนการจากไปของ กุนโดกัน ในราคาเพียง 25 ล้านปอนด์เท่านั้น
ส่วนในตำแหน่งอื่นๆ ก็ยังอยู่กันครบทั้งหมด เกมรุกนำโดย เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เจ้าของผลงาน 52 ประตูจากการลงเล่น 53 เกมรวมทุกรายการเมื่อฤดูกาลก่อน รวมถึงแดนกลางตัวปั้นเกมอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ ก็ยังคงปักหลักเป็นจอมทัพให้กับทีมต่อไป ส่วนในแดนหลังก็ยังนำโดย รูเบน ดิอาส และ จอห์น สโตนส์
ยังไม่รวมการเสริมทัพที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้อย่าง ยอสโก้ กวาร์ดิโอล กองหลังดาวรุ่งทีมชาติโครเอเชีย ที่คาดว่าน่าจะย้ายจาก แอร์เบ ไลป์ซิก มาในไม่ช้า ซึ่งก็ยิ่งจะทำให้เกมรับของ แมนฯ ซิตี้ แน่นปึ้กมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก จากเดิมที่ก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว
จึงไม่ต้องแปลกในเลยว่าทำไมสื่อทุกสำนักต่างยังคงยกให้ทีมเรือใบสีฟ้าที่มี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นกุนซือ เป็นทีมเต็งที่จะคว้าแชมป์ในทุกรายการเหมือนเดิม
นั่นทำให้การพบกันระหว่าง แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ในเกมนี้ จะเป็นการพิสูจน์ฝีเท้ากันในยกแรก ว่าใครจะมีความพร้อมในการแย่งชิงความยิ่งใหญ่ในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2023-24 ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นในอีก 1 สัปดาห์ให้หลัง
แม้ว่าถ้ามองไปที่สถิติการดวลกันระหว่าง เป๊ป และ อาร์เตต้า จะเห็นได้ชัดเลยว่ากุนซือของทีมปืนใหญ่จะเป็นรองเยอะกว่ามากก็ตาม หลังการเจอกัน 10 ครั้ง อาร์เตต้า จะเป็นฝ่ายแพ้เพื่อนเก่าอย่าง เป๊ป ไปถึง 9 เกม แถมยังโดน แมนฯ ซิตี้ ยิงไปกระจุย 24 ประตู ขณะที่ อาร์เซน่อล ยิงได้แค่ 6 ลูกเท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสถิติจะแพ้ทางกันแค่ไหนก็คงต้องวางเอาไว้ก่อน และมาดูกันว่า อาร์เซน่อล ที่มีการปรับโฉมให้ดียิ่งขึ้น จะต่อกรกับ แมนฯ ซิตี้ ที่แกร่งทั่วแผ่นได้ดีมากกว่าเดิมแค่ไหน
ใครจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะและได้ชูโล่การกุศล ประเดิมเกียรติยศชิ้นแรกของฤดูกาลใหม่ ติดตามได้ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล เอฟเอ คอมมูนิตี้ชิลด์ ประจำปี 2023 แมนฯ ซิตี้ ปะทะ อาร์เซน่อล วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคมนี้ เวลา 22.00 น. ที่ ทรูวิชั่นส์ ทางช่อง beIN Sports 1 (ช่อง 607)
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial