ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น D11 ความภาคภูมิใจแห่งออสเตรเลีย

หากยกคำพูดเดิมว่าเหมือนจะเหงาแต่ไม่เหงาก็ถือว่าใช้ได้ เริ่มที่การแข่งขันในประเภทชายคู่ รอบรองชนะเลิศมีคู่จากออสเตรเลี่ยนอยู่ในนั้น หากไม่หวังมากจนเกินไป กองเชียร์เจ้าถิ่นคงอยากเห็นนักหวดร่วมชาติทะลุเข้าชิงชนะเลิศ ซึ่งถือว่าสมหวัง 

แม็ตธิว เอ็บเดน และ แม็ก เพอร์เซลล์ ชายคู่เจ้าถิ่นเอาชนะ ราจีฟ แรม และ โจ ซาลิสบิวรี่ มือ 2 ของรายการและแชมป์เก่าในปี 2020 ซึ่งในรอบชิงครั้งนั้น เพอร์เซลล์ ในวัย 21 ปีจับคู่กับ ลุค เซวิลล์ และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป แต่ครั้งนี้ เพอร์เซลล์ จะได้แก้ตัวอีกครั้งพร้อมประสบการณ์ที่เพิ่มพูนขึ้น

อย่างไรก็ดี ศึกครั้งนี้ไม่ง่ายเลยเมื่อต้องพบกับ นิค คีร์จิออส ที่จับคู่กับ ธานาซี่ ค็อคคินากิส ซึ่งคนแรกจัดจ้านอย่างมากทั้งฝีมือและคาแร็คเตอร์ เคยขึ้นเป็นมือวางอันดับ 13 ของโลกมาแล้ว และเคยเอาชนะ “บิ๊กทรี” โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล และ โนวัค ยอโควิช มาก่อน 

รอบก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นหลายอย่าง คีร์จิออส ตีบอลขึ้นไปบนแสตนด์โดนเด็กชายคนหนึ่งที่ในเวลาต่อมาเขามอบแร็คเก็ตให้เป็นของขวัญหลังจบแมตช์ รอบที่ 2 เอาชนะคู่มือวางอันดับ 1 ของรายการ นิโคล่า เมคติช และ มาเต ปาวิช จากโครเอเชียมาแล้ว ซึ่งมันก็เกิดเรื่องคล้ายๆ กัน คู่แข่งของพวกเขาวิจารณ์พวกเขาทั้งสอง

ส่วนรอบก่อนรองชนะเลิศ เขาโดน ไมเคิ่ล วีนัส เพื่อนร่วมชาติวิจารณ์ว่าเป็นแค่คนงี่เง่า ก่อนที่ทั้ง คีร์จิออส และ ค็อคคินากิส จะออกมาแก้ต่างให้ตัวเองว่าพวกเขาก็แค่ต้องการเสียงเชียร์ อยากสร้างบรรยากาศ และชื่นชมทั้ง เซบาญอส และ กราโนเญส คู่แข่งจากรอบตัดเชือกที่ถ่ายเซลฟี่กัน และไม่มีใครสร้างประเด็นอะไร 

รอบชิงชนะเลิศการพบกันของ 2 คู่จากออสเตรเลียล้วนๆ ไม่มีชาติอื่นผสมอาจเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับกองเชียร์สักหน่อย เพราะเสียงของทุกคนคงดังก้องทั่วสนาม ไม่ว่าใครจะชนะก็น่าจะเป็นการแข่งที่เอ็นเตอร์เทนและกระหึ่มในทุกลูกที่มีคะแนนสำคัญ 

ฝ่ายหญิงคู่ มือ 2 ของรายการ ชูโกะ อาโอยามะ และ เอนะ ชิบะฮะระ จากญี่ปุ่นเป็นมือระดับท็อป 10 ของเอเชีย แต่ไม่มาตามนัด แพ้ อันนา ดานิลิน่า และ บีทริซ ฮาดัด มาย่า หญิงคู่จากคาซัคสถานและบราซิลที่จะผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรก ไปเจอมือ 1 ของรายการ

บาร์บอร่า เครจชิโคว่า และ แคทรีน่า ซิเนียโคว่า จากสาธารณรัฐเช็คเคยผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศในปีก่อน แต่แพ้ เอลิเซ่ เมอร์เท่นส์ และ เอรีน่า ซาบาเลนก้า ซึ่งปีนี้ เมอร์เท่นส์ กลับมาในประเภทคู่แต่เปลี่ยนคู่หู และจอดแค่รอบรองชนะเลิศ ต้องติดตามว่ามือ 1 เข้าป้ายแก้มือคว้าแชมป์หรือจะเกิดการพลิกล็อก

ปิดท้ายที่หญิงเดี่ยว แดเนี่ยล คอลลินส์ ผ่านเข้าชิงชนะเลิศครั้งแรกในอาชีพ ตอนนี้เธออายุ 28 ปีแล้ว ทำให้เธอยอมรับตามตรงว่ากว่าจะมีวันนี้ไม่ง่าย ไม่ใช่ความสำเร็จชั่วข้ามคืน แต่เธอจะสำเร็จได้อย่างตั้งใจคงต้องผ่านปราการอันแข็งแกร่งที่โอบล้อมด้วยเสียงเชียร์ของ แอชลี่ บาร์ตี้ ไปก่อน

บาร์ตี้ เป็นตัวเต็งในฐานะมือ 1 ของรายการและของโลก ทุกรอบที่เธอผ่านมาเธอไม่ดีอยู่ในคอร์ตแค่คนเดียว แต่มากด้วยเสียงเชียร์ แบบที่ จิม คูเรียร์ พิธีกรบอกว่าทุกค่ำคืนผู้คนมารอคอยการแสดงของเธอ

และหลังจากจบเกม คูเรียร์ อีกเช่นกันที่บอกว่า “แอช มีสมาธิมาก และทำทุกอย่างในทุกวันไปตามขั้นตอนจนดูไม่ออกเลยว่ามีอะไรกวนใจเธอหรือไม่ แต่ดูแล้วคู่แข่งของเธอคงมีเรื่องรบกวนจิตใจมาก”

ก่อนมาถึงรอบรองชนะเลิศ บาร์ตี้ ไม่เสียเซ็ตเลย และเสียไปเพียง 17 เกม จนเมื่อจบการแข่งขันกับ แมดิสัน คีส์ ที่ 6-1 และ 6-3 เท่ากับว่าเธอเสียไป 21 เกมจาก 6 แมตช์ นับสถิติแล้วน้อยเป็นอันดับ 4 ของแกรนด์แสลมหลังปี 2000 เป็นต้นมา อันดับ 3 เป็นของ วีนัส วิลเลี่ยมส์ 20 เกมใน วิมเบิลดัน 2009 

อันดับ 1 และ 2 คือ เซรีน่า วิลเลี่ยมส์ ใน ยูเอส โอเพ่น 2013 และ 2012 เปรียบเทียบกับนักหวดหญิงคนอื่นๆ เมื่อผ่านมา 4 รอบทุกคนเสียไปมากกว่า 25 เกมแล้ว 

ไม่เพียงเท่านั้น มือ 1 จากออสเตรเลียยังเป็นหญิงเดี่ยวคนแรกในฐานะเจ้าบ้านที่เข้าชิงชนะเลิศ ซึ่งเกิดขึ้นนานมาแล้วในปี 1980 จาก เวนดี้ เทิร์นบูลล์ น่าเสียดายที่เธอไม่ได้แชมป์ ส่วนคนที่คว้าแชมป์ได้ ย้อนกลับไปอีกนิดในปี 1978 คือ คริส โอนีล

โปรแกรมชายคู่และหญิงเดี่ยวจะชิงชนะเลิศในวันเดียวกัน 29 ม.ค. ซึ่งสามารถติดตามได้ทางทรูวิชั่นส์ 

วันที่ 12 ของการแข่งขัน 28 ม.ค. คู่ผสมรอบชิงชนะเลิศ คริสติน่า มลาเดโนวิช และ อิวาน โดดิค จะพบกับ แชเม่ โฟร์ลิส และ เจสัน คุบเลอร์ จากออสเตรเลีย และรอบรองชนะเลิศชายเดี่ยว ที่บอกเลยว่าพลาดไม่ได้จากมือวางระดับท็อป 7 ในทั้งสองสาย