ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เดินทางเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขันกันแล้ว ในเวลานี้มี 2 ทีมที่ลุ้นแชมป์เต็มตัว นั่นก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูงของตาราง และ ลิเวอร์พูล ทีมรองจ่าฝูงที่มีแต้มตามหลังเพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้น
โดยโปรแกรมที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้ ทั้งสองสโมสรมีให้ลงสนามแข่งขันอีก 9 นัด กับ 27 คะแนนเต็มให้ได้ฝ่าฟัน เราจะพาไปส่องการแข่งขันทั้ง 9 นัดที่เหลืออยู่ว่าทั้งสองทีมจะต้องเจอกับงานที่หนักหนาขนาดไหน และทีมใดจะมีโอกาสคว้าแชมป์ได้มากกว่ากัน ซึ่งแน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญคือการโคจรมาเจอกันเอง เพราะจะเป็นเกมที่ถูกมองว่าจะตัดสินแชมป์กันในนัดนี้
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
วันที่ 2 เม.ย. พบ เบิร์นลี่ย์ (เยือน)
วันที่ 10 เม.ย. พบ ลิเวอร์พูล (เหย้า)
วันที่ 20 เม.ย. พบ ไบรท์ตัน (เหย้า)
วันที่ 23 เม.ย. พบ วัตฟอร์ด (เหย้า)
วันที่ 30 เม.ย. พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด (เยือน)
วันที่ 7 พ.ค. พบ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (เหย้า)
วันที่ 15 พ.ค. พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เยือน)
วันที่ 22 พ.ค. พบ แอสตัน วิลล่า (เหย้า)
***รอยืนยันวันแข่งขัน*** พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน (เยือน)
ดูจากโปรแกรมของทัพ "เรือใบสีฟ้า" แชมป์เก่า เจองานเบาทันทีหลังกลับมาจากช่วงพักเบรกฟีฟ่าเดย์ กับการออกไปเยือนทีมท้ายตารางอย่างเบิร์นลี่ย์ ในวันที่ 2 เมษายนนี้ ก่อนที่จะมีศึกสำคัญที่ถือเป็นเกมตัดสินแชมป์ก็ว่าได้ เพราะพวกเขาจะกลับไปเล่นในบ้านรับการมาเยือน ลิเวอร์พูล ทีมคู่แข่งลุ้นแชมป์โดยตรง
ซึ่งการเจอกันในเลกแรกทั้งสองทีมแบ่งแต้มกับไปแบบสุดมันด้วยสกอร์ 2-2 ชนิดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเป็นฝ่ายตามตีเสมอทั้งสองครั้งสองครา แต่ความแตกต่างในการเจอกันคราวนี้นั้นเทียบไม่ได้เลย เพราะด้วยสถานการณ์ในตารางคะแนนของทั้งสองทีม ที่ต้องมาแย่งแชมป์กันโดยตรง เพราะฉะนั้นเกมแรกที่ว่าเข้มข้นแล้ว การเจอกันครานี้จะยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
จบจากเกมที่ต้องดวลกับทัพ "หงส์แดง" ซึ่งดูจากความได้เปรียบที่ ซิตี้ มีแต้มนำอยู่ ก็อาจจะไม่ได้ถึงกับเปิดหน้าแลกอะไรมาก เพราะผลเสมอก็ไม่ได้ถึงกับเสียหายอะไร และจะยังทำให้ทัพ "เรือใบสีฟ้า" ยังคงมีแต้มเหนือกว่า (ในกรณีที่ชนะ เบิร์นลีย์) พวกเขายังสามารถคุมสถานการณ์การลุ้นแชมป์อยู่ในมือตัวเองต่อไป
ยิ่งเมื่อดูกับช่วงโปรแกรมที่เหลือหลังผ่านเกมกับ ลิเวอร์พูล ว่ากันตามตรงก็สามารถมองได้ถึงการเก็บชัยชนะทุกนัด เพราะคู่แข่งที่จะมาต่อกรด้วยก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นทีมครึ่งล่างของตารางที่วัดกันปอนด์ต่อปอนด์ ซิตี้ ก็ยังดูเหนือกว่าทุกอณู และแต่ละทีมทัพ "เรือใบสีฟ้า" ก็เก็บชัยชนะกินเรียบมาหมดในการเจอกันช่วงเลกแรก หากไม่มีอุบัติเหตุทางลูกหนังก็ไม่น่าจะพลาดอะไร
ลิเวอร์พูล
วันที่ 2 เม.ย. พบ วัตฟอร์ด (เหย้า)
วันที่ 10 เม.ย. พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เยือน)
วันที่ 19 เม.ย. พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เหย้า)
วันที่ 24 เม.ย. พบ เอฟเวอร์ตัน (เหย้า)
วันที่ 30 เม.ย. พบ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (เยือน)
วันที่ 7 พ.ค. พบ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (เหย้า)
วันที่ 15 พ.ค. พบ เซาธ์แฮมป์ตัน (เยือน)
วันที่ 22 พ.ค. พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (เหย้า)
***รอยืนยันวันแข่งขัน*** พบ แอสตัน วิลล่า (เยือน)
ข้ามมาดู 9 เกมสุดท้ายของ พลพรรค "หงส์แดง" ที่กลับมาจากพักเบรกฟีฟ่าเดย์ จะต้องเจอกับทีมในโซนแดงอย่าง วัตฟอร์ด ซึ่งก็ดูไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่อะไรกับการเดินหน้าเก็บ 3 แต้มเต็ม เพื่อไล่กดดันจ่าฝูงต่อไป
จากนั้นก็จะถึงเกมสำคัญที่สุดของฤดูกาลเลยก็ว่าได้ กับการออกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายเดียวของ ลิเวอร์พูล ก็คือเดินหน้าฆ่าให้ตาย เพราะด้วยสถานการณ์แต้มที่ตามหลัง แม้เพียงแค่ 1 คะแนน แต่จะมามัวหวังแค่ 1แต้ม แล้วตามแช่งให้ ซิตี้ พลาดให้ก็คงจะไม่ดีแน่ เพราะพวกเขาก็เคยมีบทเรียนมาแล้วกับการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ที่แทบจะพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย
การออกไปเยือนทัพ "เรือใบสีฟ้า" จึงมีเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือการเก็บชัยชนะกลับออกมาให้ได้ เพราะหากทำได้เพียงแค่ผลเสมอ ก็ไม่ได้ส่งผลกับช่องว่างในตารางคะแนน สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำคือการเก็บ 3 แต้ม และพลิกสถานการณ์ขึ้นไปเป็นผู้นำแทน หากหวังที่จะมองถึงการคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้
ยิ่งเมื่อดูโปรแกรมที่เหลือหลังผ่านเกมกับ ซิตี้ ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเจองานที่หนักกว่ามากๆ ทั้งการต้องทำศึกแดงเดือด ดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมถัดมาทันที รวมถึงปะฉะดะกับคู่รักคู่แค้นร่วมเมืองอย่าง เอฟเวอร์ตัน ที่ยังต้องการแต้มสุดๆเพื่อความอยู่รอด จากนั้นก็จะออกไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ที่ทำผลงานดีวันดีคืน
เท่านั้นยังไม่พอ ลิเวอร์พูล ยังคงต้องเจองานหนักกับการรับมือ สเปอร์ส ทีมที่เคยบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึงถิ่นมาแล้ว แม้ว่าจะได้เล่นในถิ่นแอนฟิลด์ แต่ก็จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด จากนั้นอีก 3 เกมที่เหลือก็พอจะมองถึง 3 แต้มได้ในชนิดที่ไม่น่าจะยากเย็นนัก กับการเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน, วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส และ แอสตัน วิลล่า
บอกตามตรงว่าช่วงโปรแกรมที่เหลือของลิเวอร์พูล หากเทียบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดูจะไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาสักเท่าไรนักสำหรับสาวก "หงส์แดง" เพราะฉะนั้นพวกเขาต้องมองไปทีละนัด เกมต่อเกม และแน่นอนว่าเป้าหมายสำคัญอย่างแรกที่ต้องทำให้ได้ก่อนจะไปมองถึงนัดอื่นๆ ก็จะอยู่ที่การออกไปเยือนถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม
หากได้ 3 แต้มกลับออกมาก็น่าจะทำให้ขวัญกำลังใจในการไล่ล่าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 ของพวกเขาดูฮึกเหิมมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น ช่วงโปรแกรมที่เหลือก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรกับการมองถึงชัยชนะทุกนัด แม้จะต้องเจอกับงานที่หนักกว่าคู่แข่งลุ้นแชมป์โดยตรงก็ตาม
ดูจากโปรแกรมทั้ง 9 นัดที่เหลือของทั้งสองทีมลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้ มองยังไงทางฝั่งแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ดูจะมีความได้เปรียยบ ทั้งเรื่องแต้มที่นำอยู่ กับคู่แข่งที่เบากว่าอย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้นการเจอกับเองของทั้งสองทีมในวันที่ 10 เมษายนนี้ จะเป็นเกมที่ตัดสินแชมป์อย่างแท้จริง
หาก ซิตี้ เก็บชัยชนะได้ทุกอย่างก็แทบจะจบเห่ แม้ตามทฤษฎีแล้วสถานการณ์ยังสามารถพลิกกลับมาเป็นของทัพ "หงส์แดง" ได้อยู่ แต่ในทางปฏิบัติกับประสบการณ์ของทัพ "เรือใบสีฟ้า" ภายใต้การคุมทัพของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มองยังไงถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก ในซีซั่นนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของพวกเขาเกินครึ่งใบแล้ว
"บิ๊ก กิโล10"
รายการถ่ายทอดสดทรูวิชั่น
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial