ใครที่ตามข่าวมาตลอด น่าจะพอทราบว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจบฤดูกาลนี้... สำหรับซีซั่นนี้ ถือได้ว่าเป็นอีกครั้งที่ทีมต้องล้มเหลว จบฤดูกาลแบบมือเปล่า หลังกระเด็นตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งถามว่ามันเป็นเรื่องประหลาดหรือไม่ที่แพ้ต่อ แอตเลติโก มาดริด คำตอบคือ "ไม่เลย"
เพราะถ้าใครเป็นแฟน แมนฯ ยูไนเต็ด เชียร์ทีมมานาน และมองโลกบนความเป็นจริงสักหน่อย ไม่ใช่เพ้อฝันไปวันๆ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในรายการนี้ ณ ตอนนี้ ย่อมเป็นไปได้ยากอยู่แล้ว
ต่อให้ผ่าน แอต. มาดริด ไปได้ มาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ถ้าไม่ได้โชคดีจับไปเจอ เบนฟิก้า หรือ บียาร์เรอัล ก็คงจะหยุดอยู่แค่รอบนี้อยู่ดี เมื่อดูจากรายชื่อคู่แข่งทีมอื่นๆ ที่เหลือ และความพร้อมที่ต่างกันค่อนข้างมาก
ทีมปีศาจแดงมีปัญหาหลายอย่างที่รุมเร้า ทั้งในเชิงโครงสร้าง และในเชิงผลงานในสนาม
ในช่วงที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังอยู่ในตำแหน่งกุนซือ มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน จะเห็นได้ชัดว่ามีการถือกำเนิดตำแหน่งใหม่ขึ้นมาอย่าง ผู้อำนวยการกีฬา ก็เกิดขึ้นในยุคของ โซลชา เพราะสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์สโมสร ไม่เคยมีตำแหน่งนี้มาก่อน แม้ว่าทีมอื่นๆ เขาจะมีกันไปนานแล้วก็ตาม
หรือในเรื่องการของการเสริมทัพ ในยุคของ โซลชา ชัดเจนว่าการซื้อนักเตะของปีศาจแดง ดูจะเป็นอะไรที่ดูดี มีเหตุผลในการซื้อ ไม่ได้มองแค่ว่าเอามาทำการตลาดอย่างเดียวเหมือนอย่างในสมัยก่อนหน้านั้น
เพียงแต่ผลงานในสนามไม่ได้ออกมาตามที่หวังไว้ สาเหตุสำคัญก็คือตัวโค้ชอย่าง โซลชา อาจจะไม่ได้เก่งมากพอที่จะทำให้ทีมแสดงศักยภาพออกมาได้มากกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงแท็คติกหรือแนวทางการเล่นที่ไม่ได้มีความชัดเจน หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้เล่นฟุตบอลเกมรุกอย่างที่แฟนๆ คาดหวังไว้
เรียกว่าถ้านำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง แมนฯ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ก็ดูจะแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด จะบอกว่าฟอร์มที่นักเตะผีแดงแสดงออกมาอยู่คนละระดับกับอีกสองทีม ก็ไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
อาจจะมีบางคนเถียงว่า โซลชา ชนะ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้หลายครั้งนะ มันก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่เป็นการเอาชนะในสภาพที่ตัวเองเป็นรอง แต่พลิกชนะได้ด้วยการอาศัยการเล่นแบบโต้กลับเร็ว แต่สำหรับการแข่งขันแบบฟุตบอลลีก การที่คุณเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ได้ แต่ไปพลาดง่ายๆ กับทีมอื่นๆ สุดท้ายจบฤดูกาล 38 นัดมีแต้มเป็นรองสุดกู่ คงจะไม่สามารถพูดได้ว่าฟุตบอลของ โซลชา คือฟุตบอลที่จะนำพาทีมประสบความสำเร็จ
สุดท้ายก็มีการเปลี่ยนแปลง ราล์ฟ รังนิค เดินเข้ามารับเผือกร้อน เดินหน้าต่อจนจบฤดูกาล โดยมีเป้าหมายว่าจะทำผลงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่ก่อนหน้านี้โค้ชไม่ดีพอ แต่นักเตะบางรายก็มีทัศนคติที่ไม่เหมาะสมด้วยเช่นเดียวกัน เมื่อดูจากความทุ่มเทยามที่ได้ลงสนาม
ย้อนกลับมาที่ปัญหาเชิงโครงสร้างอีกครั้ง เพราะถ้าลองไปเช็คดูตารางอันดับค่าเหนื่อยของนักเตะปีศาจแดง จะเห็นได้เลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังเจอกับปัญหาจ่ายเงินค่าเหนื่อยให้นักเตะแพงเกินความเป็นจริง
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล พยายามกดเพดานค่าเหนื่อยให้ต่ำที่สุดที่เท่าจะเป็นไปได้ แพงสุดในตอนนี้คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ 220,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้น มีนักเตะที่ได้ค่าเหนื่อยระดับ 200,000 ปอนด์ขึ้นไปมากถึง 8 คน!
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีคนที่ได้ระดับเกิน 300,000 ปอนด์ขึ้นไปถึง 4 คน แพงที่สุดคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่สัปดาห์ละ 510,000 ปอนด์!!
โอเคว่า แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะเป็นทีมใหญ่ หาเงินได้เก่ง มีรายได้มากพอที่จะจ่ายค่าจ้างนักเตะแพงๆ แต่ถึงอย่างนั้นบางรายก็ดูจะเป็นการจ่ายที่แพงเกินจริง และบางรายก็แทบจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับทีมเลย แต่เหมือนนอนรับค่าเหนื่อยแพงๆ ไปวันๆ
คงไม่ต้องแจกแจงรายละเอียดว่าใครได้เท่าไหร่กันบ้าง เพราะข้อมูลแบบนี้พิมพ์หาในกูเกิ้ลแค่แกร็กเดียวก็ออกมาแล้ว แต่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ควรจะใช้จ่ายให้ฉลาดมากกว่าที่เป็นอยู่ และถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ในระยะยาวย่อมไม่ส่งผลดีต่อทีมแน่ๆ
นั่นทำให้ย้อนกลับมาที่ประโยคแรกสุด แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจบฤดูกาลนี้... ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่า จะเกิดขึ้นทั้งในส่วนของกุนซือและนักเตะ
ในพาร์ทของนักเตะนั้น หลังจบฤดูกาลนี้น่าจะมีผู้เล่นเกิน 5-6 ขึ้นไปที่จะย้ายออกจากทีม โดยจะมีส่วนที่หมดสัญญาและไม่อยากต่อ, พวกที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นและอยากย้ายเพื่อโอกาสที่มากขึ้นกว่าเดิม และพวกสุดท้ายก็คือหมดสภาพ สมควรต้องปล่อยทิ้งออกจากทีม
ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงในส่วนของ Squad น่าจะเกิดขึ้นค่อนข้างมากในซัมเมอร์นี้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญมากยิ่งกว่าคือในส่วนของตัวกุนซือ
อย่างที่ทราบกันดีว่า ราล์ฟ รังนิค เข้ามารับตำแหน่งแค่เพียงชั่วคราว จากผลงานที่เกิดขึ้นตอนนี้ หลังจบฤดูกาลนี้คงจะไม่ได้รับบทบาทเฮดโค้ชต่อ และคงจะขยับไปทำในตำแหน่งที่ปรึกษาของทีมต่อไป พูดง่ายๆ ก็คือขยับไปทำงานหลังบ้านในแบบที่ รังนิค น่าจะถนัดมากกว่า หลังทำงานเป็นผู้บริหารมาก่อนหน้านี้หลายปีกับทีมในเครือ เร้ด บูลส์ ไม่ว่าจะเป็น ซัลซ์บวร์ก หรือ ไลป์ซิก
นั่นหมายความว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีการแต่งตั้งกุนซือคนใหม่อย่างแน่นอน และตอนนี้กระบวนการในการสรรหาก็กำลังดำเนินไป และเชื่อกันว่าใกล้ที่จะได้ข้อสรุปแล้ว
หลังจบโปรแกรมลีกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เข้าสู่โหมดทีมชาติ เวลาสองสัปดาห์ในช่วงนี้ เป็นช่วงเวลาที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังใช้ให้เป็นประโยชน์ นั่นคือการเรียกตัวเทรนเนอร์คนที่อยู่ในเป้าหมายเข้ามาสัมภาษณ์ เพื่อดูว่าคนไหนคือคนที่เหมาะสมที่สุด
จากรายงานข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อต่างประเทศที่เชื่อถือได้ เชื่อกันว่าแคนดิเดทกุนซือคนใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด มีอยู่ราวๆ 4-5 ราย แต่ที่มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับงานจริงๆ น่าจะมีแค่สองรายเท่านั้น
สองรายที่ว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เมาริซิโอ โปเชตติโน่ กุนซือของ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และ เอริค เทน ฮาก เทรนเนอร์ของ อาแจ็กซ์ ส่วนอีก 3 รายที่เหลือตามข่าวระบุว่ามีชื่อของ โธมัส ทูเคิ่ล ของ เชลซี, ยูเลน โลเปเตกี ที่กำลังคุมทีมเซบีย่า และ หลุยส์ เอ็นรีเก้ กุนซือทีมชาติสเปนคนปัจจุบัน
หากตัดสองคนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดออกไป ทำไม ทูเคิ่ล, โลเปเตกี และ เอ็นรีเก้ ถึงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมารับงานคุมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด คำตอบนั้นง่ายมากๆ
ในรายของ ทูเคิ่ล เจ้าตัวพูดอย่างชัดเจนหลายครั้งมากว่าเขาจะไม่มีทางทิ้ง เชลซี ก่อนที่ฤดูกาลนี้จะจบลง แม้ว่าทีมกำลังมีปัญหาเรื่องการถูกรัฐบาลเข้ามาควบคุมในการเปลี่ยนเจ้าของกิจการ แต่กุนซือชาวเยอรมันย้ำมาตลอดว่าเขายังมีความสุขดีในการทำงานกับ เชลซี
ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการได้ตัวกุนซือคนใหม่ก่อนที่ฤดูกาลนี้จะจบลง เพราะต้องการให้แผนงานการสร้างทีมใหม่ในฤดูกาลหน้าเริ่มต้นได้เร็วที่สุด และตามรายงานข่าวเชื่อกันว่าการสรรหาจะต้องได้ข้อสรุปก่อนสิ้นเดือนเมษายนนี้ นั่นแปลว่าทีมคงจะมาเสียเวลารอ ทูเคิ่ล ไม่ได้ว่าหลังจบฤดูกาลแล้วจะเอาอย่างไร
นอกจากนี้ ทูเคิ่ล ก็คงไม่คิดเสียมารยาท ย้ายข้ามฟากจาก เชลซี มาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด ในทันที แม้ว่าในทางปฏิบัติจะสามารถทำได้ (เว้นเสียแต่ว่าในสัญญามีเงื่อนไขระบุว่าห้ามทำ) แต่สำหรับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ทูเคิ่ล คงไม่เลือกทำร้ายความรู้สึกแฟนบอลเชลซีแบบนั้น
ขณะที่ โลเปเตกี เขาเคยออกมาปฏิเสธชัดเจนแล้วว่ายังไม่คิดอำลา เซบีย่า ในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ความสนใจของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีต่อตัวเขาก็ดูจะไม่ได้จริงจังมากสักเท่าไหร่ คือพูดง่ายๆ ว่าไม่ได้มองเอาไว้เป็นตัวเลือกแรกๆ แถมยังน่าจะมีอุปสรรคเรื่องภาษา ดังนั้นโอกาสที่ โลเปเตกี จะได้มาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด ในซัมเมอร์นี้ เป็นไปได้ยากมากๆ
ส่วนในรายของ เอ็นรีเก้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้มากที่สุด สาเหตุก็เป็นเพราะเขายังมีภารกิจคุมทีมชาติสเปนเตะฟุตบอลโลก 2022 ที่จะจัดขึ้นที่ กาตาร์ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ไม่มีทางเลยที่เขาจะทิ้งทีมกระทิงดุที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแล้วมาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด หลังจบฤดูกาลนี้
ในเรื่องของฝีมือของ เอ็นรีเก้ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาสงสัย แต่จังหวะเวลานั้นไม่สอดคล้องเอามากๆ ที่จะมารับงานในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในหน้าร้อนนี้ ดังนั้นสามารถพูดได้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า ยากที่อดีตกุนซือบาร์เซโลน่ารายนี้จะมา แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างน้อยก็ในอนาคตอันใกล้นี้
ดังนั้นดูไปดูมา ก็เหลือแค่สองรายอย่าง โปเชตติโน่ และ เทน ฮาก เท่านั้นแหละ แต่คำถามต่อจากนี้คือสุดท้ายแล้วใครจะได้งานนี้?
ถ้าเอาตามกระแสข่าวในช่วงก่อนหน้านี้ โปเชตติโน่ ดูจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด อยากจะได้มากที่สุด รองลงมาก็คือ เทน ฮาก แต่หลังจากเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมจบลงไป ดูเหมือนว่าคะแนนความนิยมในตัวของ "พอช" ดูจะลดฮวบฮาบอย่างน่าใจหาย ตรงข้ามกับ เทน ฮาก ที่มาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุหลักๆ ที่ โปเชตติโน่ เสียคะแนนความนิยมไป ก็คือการพ่าย เรอัล มาดริด ตกรอบ 16 ทีม แชมเปี้ยนส์ ลีก ทั้งๆ ที่ก่อนเริ่มเกมนัดที่สอง เปแอสเช อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบมากกว่า จากการชนะมาได้ก่อนในเกมแรก 1-0 เท่านั้นยังไม่พอ ยังขึ้นนำได้ก่อน 1-0 ในเกมเลกสองด้วย แต่กลับโดน คาริม เบนเซม่า ยิง 3 ประตูรวด พามาดริดกลับมาแซงชนะได้แบบดื้อๆ
นอกจากนี้ ผลงานฟุตบอลในประเทศก็ดูจะต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะเหลือลุ้นแชมป์แค่รายการเดียวคือ ลีก เอิง และแม้ว่าคะแนนจะยังทิ้งห่างอันดับสองอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย ค่อนข้างมาก แต่ผลงานในภาพรวมควรจะทำได้ดีกว่านี้ เมื่อมองจากขุมกำลังที่มีอยู่ในมือ แถมระยะหลังก็ยังเริ่มหลุดฟอร์ม แพ้ติดๆ กัน นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าห้องแต่งตัวเริ่มจะไม่โอเคกับ โปเชตติโน่ แล้ว
แม้ว่า เทน ฮาก ก็ทำ อาแจ็กซ์ ตกรอบ 16 ทีมใน แชมเปี้ยนส์ ลีก เหมือนกัน แต่ภาพลักษณ์ของกุนซือดัตช์รายนี้ไม่ได้ดูแย่ลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามหลายฝ่ายกลับมองว่าน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่กำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง และต้องสร้างทีมใหม่
จุดเด่นของ เทน ฮาก อยู่ที่สไตล์ฟุตบอลของเขาที่เป็นฟุตบอลเกมรุกขนานแท้ นอกจากนี้ยังมีระบบการเล่นที่ชัดเจน ใช้ระบบนำหน้าตัวผู้เล่น ไม่ได้พึ่งพาความสามารถของนักเตะเป็นหลัก ข้อพิสูจน์ก็คือแทบจะทุกปี อาแจ็กซ์ ต้องเสียนักเตะกำลังสำคัญที่ย้ายไปซบทีมใหญ่ปีละ 2-3 ราย แต่ถึงอย่างนั้น เทน ฮาก ก็ยังทำให้ อาแจ็กซ์ เล่นได้ดีแบบไม่มีสะดุด และยังสามารถสร้างดาวรุ่งใหม่ๆ ขึ้นมาประดับทีมแทนคนเก่าที่ย้ายออกไปได้
หากว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการสังคายนาทีมขึ้นมาใหม่ การใช้ เทน ฮาก ดูจะตอบโจทย์มากกว่า โปเชตติโน่ ที่ดูจะเสียความมั่นใจไปไม่น้อยในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ การพูดคุยเพื่อดึงตัวมาทำงานด้วย ทางฝั่ง เทน ฮาก ก็ทำได้ง่ายกว่า เพราะทาง อาแจ็กซ์ ไม่ขัดข้องหากว่าจะมีการแยกทางกันหลังจบซีซั่น และค่าชดเชยที่ต้องจ่ายในกรณีไปดึงตัว เทน ฮาก มา ก็อยู่ที่ราวๆ 4 ล้านปอนด์เท่านั้น
ตรงกันข้ามกับ โปเชตติโน่ ที่ยังไม่รู้ว่าทาง เปแอสเช จะเอาอย่างไร และค่าชดเชยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องจ่ายให้ทีมจากฝรั่งเศส ก็สูงถึง 15 ล้านปอนด์
อย่างไรก็ดี ก็ไม่ใช่ว่า "พอช" จะไม่มีข้อดีเลยเช่นกัน เพราะผลงานของเจ้าตัวในการทำงานกับทั้ง เซาธ์แฮมป์ตัน กับ สเปอร์ส ก็ชัดเจนว่านี่เป็นกุนซือที่ฝีมือดีมากที่สุดคนหนึ่ง ทำทีมในงบประมาณที่จำกัดได้, ปั้นดาวรุ่งเก่งๆ ได้ และพาทีมเป็นขาประจำในโควต้า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แทบทุกปี จะขาดก็แค่โทรฟี่ประดับบารมีเท่านั้น
นอกจากนี้ ถ้า โปเชตติโน่ ไม่ดีจริง เปแอสเช คงไม่จีบไปร่วมงานด้วย ในแง่ของโปร์ไฟล์และประสบการณ์การทำงานในระดับสูง รวมถึงการเคยทำงานในอังกฤษมาก่อน กุนซือชาวอาร์เจนไตน์เหนือกว่า เทน ฮาก อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สำหรับสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน หลังมีรายงานว่าเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สัมภาษณ์ทาง เทน ฮาก ไปแล้วนั้น ผลที่ออกมาค่อนข้างเป็นไปในทิศทางบวก ทีมปีศาจแดงพอใจกับแนวทางและปรัชญาในการทำงานของกุนซือดัตช์ แม้ว่าจะยังไม่ได้ปิดโอกาสในตัวเลือกคนอื่่นๆ แต่หลายๆ สื่อเชื่อว่าตอนนี้ เทน ฮาก กลายเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งไปแล้ว และการที่จะตอบตกลงมาเป็นกุนซือคนใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วเท่านั้น
อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลือกตัวกุนซือนี่แหละ เพราะถ้าหากได้กุนซือที่ใช่เข้ามาทำงาน ทีมก็จะสามารถก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องได้ เหมือนอย่างที่หลายๆ ทีมได้ตัวคนที่ใช่เข้ามา และกลายเป็นยอดทีมอยู่ในตอนนี้
เวลาอ่านคอมเมนท์ตามโซเชี่ยล เรามักจะเจอคนที่ชอบพูดว่า "สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้ ได้ใครเข้ามาคุมก็ห่วยไม่ต่างกัน" โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เท่าไหร่นัก อันที่จริงคือไม่เห็นด้วยเลยมากกว่า
เพราะถ้าเอาใครมาคุมก็เหมือนกัน ลิเวอร์พูล คงไม่มีผลงานที่ดีขนาดนี้ถ้าปราศจาก เจอร์เก้น คล็อปป์, แมนฯ ซิตี้ ก็คงไม่ได้เล่นอย่างสวยงามและทรงประสิทธิภาพขนาดนี้ถ้าไม่มี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คอยกำกับ เช่นเดียวกันกับ เชลซี ที่คงจะไม่ฟื้นตัวกลับมาเป็นแชมป์ได้เร็วขนาดนี้หากว่าไม่ได้เปลี่ยนจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด มาเป็น โธมัส ทูเคิ่ล
แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นใครที่จะเข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้แชมป์ในปีแรกทันที แต่ถ้าเป็นคนที่ใช่ สิ่งที่เราจะได้เห็นคือทิศทางของทีมที่ควรจะเดินไปอย่างถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น เห็นแนวทางการเล่นที่ชัดเจนขึ้น เล่นฟุตบอลเกมรุกได้สมกับที่เป็นทีมใหญ่มากขึ้น มีตัวผู้เล่นที่เหมาะสมที่จะประสบความสำเร็จ แบบที่เป็นขั้นเป็นตอน
ดังนั้น การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะกลับมาได้เร็วแค่ไหน อยู่ที่การเลือกตัวผู้นำทีมคนใหม่เป็นสำคัญ ถ้าทำการบ้านให้ดี เลือกคนที่ใช่เข้ามาได้ เมื่อนั้นแหละ หนทางที่จะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งถึงจะเริ่มต้นขึ้น ส่วนสุดท้ายจะเป็นใครที่ได้เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของทีมปีศาจแดง เร็วๆ นี้เราน่าจะได้รู้กัน...
JOVEN
ภาพจาก Getty Images
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :
Website : www.truevisions.co.th
Facebook : Truevisions
Twitter : @TrueVisions
Line : @Truevisions
Youtube official : Truevisionsofficial
Instagram : Truevisionsofficial