พ็อตเตอร์พอใจฟอร์มเชลซี แม้สุดท้ายจะแพ้สเปอร์ส 2-0

เชลซี มีคิวไปเยือน สเปอร์ส ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยสถานการณ์ของพวกเขาก่อนเกมนี้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพยายามคว้าชัยชนะให้ได้ เพื่อโอกาสในการที่จะขยับขึ้นไปลุ้นพื้่นที่ท็อป 4 แม้ว่าในความเป็นจริงจะยังค่อนข้างยากก็ตาม นอกจากนี้ สถานการณ์ในตำแหน่งกุนซือของ พ็อตเตอร์ ก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก หลังพา เชลซี ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้กลายเป็นตัวเต็งที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง

แม้ว่าเกมในครึ่งแรกจะยังเสมอกันอยู่ 0-0 แต่พอเริ่มครึ่งหลังได้เพียงนาทีเดียว สเปอร์ส ก็ออกนำ เชลซี จนได้ จากการทำประตูของ โอลิเวอร์ สคิปป์ ในนาทีที่ 46 ก่อนที่ช่วงท้ายเกมนาทีที่ 82 แฮร์รี่ เคน ดาวซัลโวประจำทีมจะมายิงประตูปิดกล่อง ช่วยให้ทีมไก่เดือยทองเปิดบ้านเอาชนะสิงห์บลูส์ไปในที่สุด 2-0

ชัยชนะในเกมนี้ ทำให้ สเปอร์ส ยังรั้งอันดับ 4 ของตารางไว้ได้อย่างเหนียวแน่น หลังเก็บไปแล้ว 45 คะแนนจากการลงเล่น 25 นัด โดยมีแต้มทิ้งห่างอันดับ 5 อย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ไปแล้ว 4 คะแนน แม้ว่า สเปอร์ส จะแข่งมากกว่า 2 นัดก็ตาม ขณะที่ เชลซี ยังคงจมอยู่อันดับที่ 10 ของตารางต่อไป หลังมีเพียง 31 แต้มจากการลงเล่น 24 นัด และตามหลังอันดับ 4 อย่าง สเปอร์ส ไปแล้วถึง 14 แต้ม แม้จะยังแข่งน้อยกว่า 1 เกมก็ตาม

ทั้งนี้ หลังจบเกม พ็อตเตอร์ ซึ่งถูกร้านรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษขยับอัตราต่อรองให้กลายเป็นเต็งหนึ่งของกุนซือที่จะถูกปลดเป็นรายต่อไป ได้เปิดเผยว่า การพ่ายต่อ สเปอร์ส ในเกมนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่าผิดหวัง แต่ยังคงพอใจกับฟอร์มการเล่นของลูกทีม โดยกล่าวว่า "มันเป็นเกมที่สู้กันอย่างสูสี โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก ผมคิดว่า 20 นาทีแรกของเกมเราทำได้ดีกว่า"

"โดยรวมแล้วผมยังพอใจฟอร์มการเล่นโดยรวมของลูกทีม แต่พอเริ่มครึ่งหลังก็กลายเป็นงานยาก เมื่อคุณตกเป็นฝ่ายตามหลัง เกมก็ไปเข้าทางพวกเขาที่สามารถลงไปตั้งรับลึกได้กว่าเดิม ก่อนจะอาศัยเกมโต้กลับคอยเล่นงาน เราเล่นได้ดีแต่ที่ขาดหายไปคือประตู ดังนั้นเกมนี้มันจึงเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าผิดหวังสำหรับเรา ทุกอย่างสูสีกัน เพียงแต่ช่วงเวลาสำคัญของเกมไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดไว้"

สำหรับเกมพรีเมียร์ลีกนัดถัดไปของ เชลซี นั้น พวกเขาจะได้กลับไปเล่นในบ้าน รับการมาเยือนของ ลีดส์ ยูไนเต็ด และต่อด้วยเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดสอง ที่จะรับการมาเยือนของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในวันที่ 4 และ 7 มีนาคมตามลำดับ