เรือใบสีฟ้าปะทะงูใหญ่ ใครจะครองเจ้ายุโรปในปีนี้?

เรือใบสีฟ้าปะทะงูใหญ่ ใครจะครองเจ้ายุโรปในปีนี้?
ศึกสุดท้ายที่ทุกคนรอคอย กำลังจะระเบิดขึ้นแล้วในคืนวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายนนี้ นั่นคือเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2022-23 ระหว่าง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จะพบกับ "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน

อาจจะเป็นคู่ชิงชนะเลิศที่ถ้าจะว่าไปแล้ว คงไม่สามารถพูดได้ว่าสมน้ำสมเนื้อได้อย่างเต็มปากนัก เพราะสำหรับ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นั้น ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งของรายการมาตั้งแต่ที่ทัวร์นาเมนท์ยังไม่เริ่มต้นขึ้น อีกทั้งเมื่อเราดูผลงานของ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่านี่คือทีมที่มีมาตรฐานในการเล่นที่สูงมากจริงๆ

แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ได้มาจากการเดินหน้าเก็บชัยชนะได้รัวๆ 12 เกมติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนติด คือมาตรฐานที่สุดยอดมากๆ จนทำให้ผู้นำอย่าง อาร์เซน่อล เสียสมาธิจนตกม้าตายไปเอง

ขณะที่ใน เอฟเอ คัพ ก็ล้ม แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ ในรูปเกมที่เหนือกว่าแทบจะตลอดทั้งเกม แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ชัยชนะที่ขาดลอย เพราะทีมปีศาจแดงก็พยายามที่จะยกระดับการเล่นขึ้นมา แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะเล่นงานคู่ปรับร่วมเมืองของพวกเขาได้

นั่นทำให้ตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ได้ไปแล้ว 2 แชมป์ระดับเมเจอร์ และถ้าหากในวันเสาร์นี้พวกเขาทำสำเร็จ ก็จะกลายเป็นทีมที่ 2 ของอังกฤษ ต่อจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สามารถทำ "ทริปเปิ้ลแชมป์" หรือ "The Treble" ได้สำเร็จ หลังจากที่ทีมปีศาจแดงเคยทำไว้เมื่อฤดูกาล 1998-99

นั่นคือพื้นที่และขอบเขตที่ทีมเรือใบสีฟ้าไม่เคยทำได้มาก่อน แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้วในวันเสาร์ที่จะถึงนี้

ขณะที่เส้นทางของพวกเขาใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีนี้ ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ สมกับที่ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่ง เพราะตลอดเส้นทางตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มมากจนถึงเกมรอบชิงชนะเลิศนั้น พวกเขายังไม่แพ้ใครเลยแม้แต่เกมเดียว

ในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาถูกจับไปอยู่ในกลุ่มจี ประกอบไปด้วยทีมอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, เซบีย่า และ เอฟซี โคเปนเฮเก้น ซึ่งถือว่าไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม แมนฯ ซิตี้ ก็ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้แบบสบายๆ เมื่อเก็บได้ 14 แต้มจากการชนะ 4 เสมอ 2 ยิงได้ 14 เสีย 2 ประตู เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม

จากนั้นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย พวกเขาไปเจอกับ แอร์เบ ไลป์ซิก โดยเกมแรกบุกไปเสมอกลับออกมา 1-1 ก่อนจะกลับไปไล่ถล่มที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม อย่างขาดลอย 7-0 รวมสองนัดเข้ารอบไปด้วยสกอร์รวมท้วมท้นสุดๆ 8-1

ในรอบ 8 ทีมหรือรอบก่อนรองชนะเลิศ แมนฯ ซิตี้ ต้องเจอกับของแข็งอย่าง บาเยิร์น มิวนิค แต่ทีมเรือใบสีฟ้าก็แสดงให้เห็นมารฐานที่ยอดเยี่ยม เป็นฝ่ายชนะไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 4-1 โดยเกมแรกที่ได้เล่นในบ้านนั้น ซิตี้ ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ เมื่อจัดการถล่มไปก่อนอย่างขาดลอย 3-0 ทำให้นัดที่สองที่ต้องไปเยือน อัลลิอันซ์ อารีน่า ของทีมเสือใต้ไม่ต้องเจอกับความกดดัน ก่อนจะกลับออกมาด้วยผลเสมอ 1-1

มาถึงในรอบรองชนะเลิศ แมนฯ ซิตี้ ต้องเจอกับบทพิสูจน์ครั้งสำคัญ เมื่อต้องเจอกับแชมป์เก่าปีที่แล้ว และดีกรีแชมป์รายการนี้ 14 สมัยอย่าง เรอัล มาดริด ซึ่งทีเด็ดของทีมเรือใบสีฟ้านั้นยังอยู่ที่เกมในบ้านเหมือนเดิม โดยเกมแรกบุกไปเสมอกับราชันชุดขาวกลับออกมาได้ 1-1 ก่อนจะกลับมาเล่นในบ้านและไล่ถล่ม เรอัล มาดริด ไปอย่างขาดลอย 4-0 ซึ่งในเกมนัดนี้ ซิตี้ โชว์ให้เห็นว่าพวกเขาสามารถที่จะครองเกมได้เหนือกว่า มาดริด ได้แบบเบ็ดเสร็จ และชนะไปอย่างเด็ดขาด ลอยลำเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด

ขยับมาดูทางฝั่ง อินเตอร์ มิลาน กันบ้าง แน่นอนว่าถ้าเรามองไปที่เกียรติประวัติของสโมสรแล้ว อินเตอร์ ถือว่าเป็นสโมสรใหญ่และมีความสำเร็จมากมาย ชนิดที่ทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้ นั้นเทียบไม่ได้อย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ถึง 19 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 9 สมัย, ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า 7 สมัย และความสำเร็จในระดับยุโรปอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ หรือ แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบันอีก 3 ครั้ง, ยูฟ่า คัพ หรือ ยูโรป้า ลีก ในปัจจุบัน 3 ครั้ง และแชมป์สโมสรโลก หรือปัจจุบันคือ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อีก 3 ครั้ง

ที่สำคัญ อินเตอร์ มิลาน คือหนึ่งในไม่กี่ทีมในยุโรปที่เคยคว้า "ทริปเปิ้ลแชมป์" ซึ่งพวกเขาทำได้สำเร็จในฤดูกาล 2009-10 ในยุคที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นกุนซือ

อย่างไรก็ตาม เกียรติประวัติเหล่านั้นถือเป็นเรื่องในอดีต เพราะถ้าว่ากันตามผลงานในปัจจุบัน ชัดเจนว่า อินเตอร์ มิลาน ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับที่ แมนฯ ซิตี้ เป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาเป็นนายใหญ่ ทีมเรือใบสีฟ้าก็พัฒนาอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดนิ่ง

แม้ว่าปัจจุบัน อินเตอร์ ยังถือเป็นทีมใหญ่ในอิตาลี และอยู่ในกลุ่มที่มีลุ้นแชมป์ทุกปี แต่ในฤดูกาลนี้พวกเขาจบเพียงอันดับที่ 3 ของ เซเรีย อา เก็บได้ 72 คะแนนจาก 38 นัด แพ้ทีมแชมป์อย่าง นาโปลี ที่ได้ 90 แต้มไปถึง 18 คะแนน เห็นได้ชัดว่าปีนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่ดีพอกับการที่จะเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของแดนมะกะโรนี

อย่างไรก็ตาม ในฟุตบอลถ้วยอย่าง โคปปา อิตาเลีย พวกเขายังยอดเยี่ยม เมื่อสามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะ ฟิออเรนติน่า 2-1 ในรอบชิงชนะเลิศ นั่นทำให้ตอนนี้ อินเตอร์ ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นดับเบิ้ลแชมป์อยู่ หากว่าสร้างเซอร์ไพรส์ ล้ม แมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก วันเสาร์ที่จะถึงนี้

ขณะที่เส้นทางใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีนี้นั้น ต้องบอกว่า อินเตอร์ ต้องเจองานหนักตั้งแต่ในรอบแบ่งกลุ่มเลย เมื่อถูกจับไปอยู่ในกลุ่มซี ซึ่งประกอบไปด้วยทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค, บาร์เซโลน่า และ วิคตอเรีย เพลเซ่น ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่แข็งที่สุดกลุ่มหนึ่งใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้

อย่างไรก็ดี อินเตอร์ มิลาน ภายใต้การนำของ ซิโมเน่ อินซากี้ ก็เอาตัวรอดมาได้ด้วยการเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่ม จากผลงานชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 2 เก็บได้ 10 แต้ม ทะลุเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ตามหลัง บาเยิร์น มิวนิค ไปได้ และถีบ บาร์เซโลน่า ตกลงไปเล่นใน ยูโรป้า ลีก รอบเพลย์ออฟแทน

จากนั้นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย อินเตอร์ มิลาน ได้เข้าไปเจอกับ เอฟซี ปอร์โต้ ก่อนจะเอาชนะมาได้แบบฉิวเฉียดด้วยสกอร์รวมสองนัดเพียง 1-0 เรียกได้ว่าหืดจับ อย่างไรก็ตาม ผลการจับสลากในรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเหมือนจะเป็นใจ เพราะนอกจากจะได้จับเจอกับ เบนฟิก้า แล้ว การวางสายในรอบรองชนะเลิศก็ยังเข้าทางอีกด้วย เพราะได้ไปอยู่ในสายล่าง ที่เบากว่าสายบนที่ประกอบไปด้วยทีมยักษ์ใหญ่ อาทิ แมนฯ ซิตี้, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, ยูเวนตุส, ลิเวอร์พูล, เชลซี, แอร์เบ ไลป์ซิก และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง

ขณะที่สายล่างนั้นสุดเบาหวิว เมื่อประกอบไปด้วยทีมอย่าง เอซี มิลาน, สเปอร์ส, ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต, นาโปลี, คลับ บรูซ, เบนฟิก้า, อินเตอร์ มิลาน และ เอฟซี ปอร์โต้

นั่นทำให้ในรอบ 8 ทีม อินเตอร์ เอาชนะ เบนฟิก้า มาได้ด้วยสกอร์รวมสองนัด 5-3 ทำให้ในรอบรองชนะเลิศ ทีมงูใหญ่ ได้โคจรมาเจอกับคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เอซี มิลาน ทำศึก "ดาร์บี้ เดลล่า มาดอนนิน่า" ในถ้วยยุโรป ซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่เบากว่าสายบนแบบเห็นๆ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเกมดาร์บี้แมตช์ แต่ มิลาน ในฤดูกาลนี้ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีนัก ก่อนที่จะเป็น อินเตอร์ ที่ทำได้ดีกว่า เอาชนะไปได้ทั้งสองเกมที่เจอกัน และเอาชนะไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-0 ลอยลำเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม การเจอกันระหว่าง แมนฯ ซิตี้ และ อินเตอร์ มิลาน ในเกมรอบชิงชนะเลิศที่ อตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี นั้น อาจจะเป็นเกมที่ไม่ได้สูสีกันอย่างที่หลายฝ่ายอยากจะเห็น เพราะชัดเจนว่ามาตรฐานของ แมนฯ ซิตี้ ในเวลานี้ดูจะเหนือล้ำกว่าหลายๆ ทีมในยุโรป แต่กระนั้นขึ้นชื่อว่าฟุตบอลลูกกลมๆ แล้ว อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ไม่แน่เหมือนกันว่า อินเตอร์ มิลาน อาจจะทำอะไรบางอย่าง และสามารถล้มเต็งหนึ่งอย่างเรือใบสีฟ้าได้เช่นกัน

สุดท้ายแล้ว จะเป็น แมนฯ ซิตี้ หรือ อินเตอร์ มิลาน ที่จะคว้าแชมป์ ทีมเรือใบสีฟ้าจะจบฤดูกาลนี้ด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นทีมงูใหญ่ที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์ไปครอง ติดตามการถ่ายทอดสดศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ในวันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายนนี้ เวลา 02.00 น. (แข่งคืนวันเสาร์) ได้ที่ ทรูวิชั่นส์ ทางช่อง beIN Sports 3 (ช่อง 609)

ภาพจาก Getty Images

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร :

Website : www.truevisions.co.th

Facebook : Truevisions

Twitter : @TrueVisions

Line : @Truevisions

Youtube official : Truevisionsofficial

Instagram : Truevisionsofficial